บทที่ 2:

 

 

หลังจากที่มองแพนเค้กย่างอย่างไร้ยางอายไปสองสามวินาที หลิงเซี่ยก็เหลือบมองไปยังซงเสี่ยวหู จากนั้นจึงช่วยเหลือตัวเองอย่างกล้าหาญและเริ่มกินอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านี้ ตอนที่ความคิดของเขาพลุ่งพล่านไปไกล เขาก็นึกถึงชื่อ ‘เอ้อตัน’ แปลกๆ นี้ออกและจำตัวตนของร่างนี้ได้!

ตอนต้นของนิยายน่าละอายนี่อธิบายถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งระหว่างตัวเอกและตัวร้ายในวัยเด็กเอาไว้อย่างละเอียด แน่นอนว่าเพื่อสร้างให้มันเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งเกลียด ทำร้ายกันและกันในอนาคตของทั้งสอง ในบรรดาฉากเหล่านั้นก็รวมฉากที่มีตัวประกอบบางตัวอยู่ด้วย

สิ่งที่ทำให้ตัวเอกและตัวร้ายปลุกพลังของตัวเองขึ้นมาก็คือความช็อคจากความตายของตัวประกอบแสนน่าสงสารตัวหนึ่ง และชื่อของเจ้าตัวประกอบหน้าโง่แต่แข็งแรงอย่างกับวัวนั่นก็คือ ‘เอ้อตัน’ เขากับตัวเอกคือเด็กไร้บ้านที่เป็นขอทานอยู่ข้างถนนและใช้เวลาช่วงหนึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เขาก็คือสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของตัวเอก! ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ชื่อน่าอับอายแปลกประหลาดอย่าง ‘เอ้อตัน’ (ไข่ใบที่สอง) นี่ก็ถูกตั้งโดยตัวเอก…

ดูเหมือนว่าตัวตนของเขาในยามนี้ก็คือเจ้าสุนัขรับใช้แสนซื่อสัตย์ที่น่าสงสารและยากจะทำใจยอมรับได้นี่

ในขณะที่กำลังนึกถึงพล็อตเรื่อง หลิงเซี่ยก็จัดการอาหารของเขาอย่างตะกละตะกรามจนถึงจุดที่กระทั่งกินส่วนที่เปื้อนฝุ่นเข้าไปด้วย เขาปลอบตัวเองอย่างเงียบๆ ว่า หากจะพูดกันโดยพื้นฐานแล้ว นี่คือแพนเค้กย่างที่มีลายนิ้วมือของอัจฉริยะที่โดดเด่นและทรงพลังอยู่!

เมื่อเห็นว่าหลิงเซี่ยกินอย่างเพลิดเพลินเช่นนั้น ผู้ที่ครอบครองวาสนาของตัวเอกที่ไร้เทียมทาน ซงเสี่ยวหู ก็อุทานขึ้นมาอย่างมีความสุข “เอ้อตัน กินช้ากว่านี้หน่อย เดี๋ยวสำลัก—“

กระทั่งก่อนที่เขาจะพูดจบ หลิงเซี่ยก็กุมลำคอของตนเองและเริ่มไออย่างรุนแรง ไอ้แพนเค้กย่างนั่นอาจจะดูดี ทว่ามันแข็งและเหนียวอย่างมาก ชัดเจนว่าเป็นของค้างคืน!

ซงเสี่ยวหูรีบยื่นถ้วยที่มีรอยร้าวที่อยู่ที่มุมหนึ่งให้แล้วเอ่ยเร่ง “กินน้ำหน่อย”

ชัดเจนว่าเจ้าเด็กนี่คุ้นเคยกับความซุ่มซ่ามของร่างนี้แล้ว

ในทางกลับกัน ใบหน้าของอวี้จื้อเจี่ยเต็มไปด้วยความดูแคลน เดินถอยหลังห่างออกไปสองสามเมตรอย่างเหยียดหยาม ขมวดคิ้วบางของเขา “ไอ้เจ้าโง่นี่จะโง่ไปมากกว่านี้ได้ไหมเนี่ย? ไม่อาจกระทั่งกินอาหารได้โดยที่ไม่สำลัก!”

หลิงเซี่ยดื่มน้ำเย็นเยียบลงไปสองสามอึก สะท้านจากความหนาวเย็น และทุบหน้าอกของเขาเพื่อที่จะหายใจได้สะดวกขึ้น เขาสบถอยู่ในใจ แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าเทียบกับตัวเอกที่ราวกับเกิดในตระกูลที่ดี ตัวร้ายนั่นเปล่งรัศมีตัวโกงมาตั้งแต่เด็กแล้ว! ไม่มีความเป็นห่วงเป็นใยหรือความอ่อนโยนแม้แต่น้อย!

เขาหรี่ตา เพ่งมองภาพสะท้อนลางเลือนในถ้วยน้ำ ใบหน้านี้สกปรกมากพอจะแข่งกับซงเสี่ยวหู ทว่ามันชัดเจนว่ารูปลักษณ์ของเขาไม่เลวร้ายและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาต่างจากภาพของตัวประกอบหน้าโง่เจ้าของดวงตาดุดันและริมฝีปากบิดเบี้ยวที่เขาคิดเอาไว้ เขาดูจะแก่กว่าซงเสี่ยวหูและอวี้จื้อเจี่ยราวๆ 4-5 ปี

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงยัดแพนเค้กย่างแข็งกระด้างเข้าไปในปากของเขาพร้อมกับดื่มน้ำเย็นเยียบไปด้วย หลิงเซี่ยมองไปยังอนาคตตัวร้ายอันดับหนึ่งแล้วนึกถึงเรื่องราวเบื้องหลังของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ

สำหรับประสบการณ์วัยเด็กของอวี้จื้อเจี่ย มันไม่ใช่อะไรที่เจ้าคนแต่งไม่มีอะไรดีนั่นใช้ตัวอักษรมากมายในการอธิบาย จะอย่างไร หมอนี่ก็ไม่ใช่ตัวเอก แต่มันพอจะเรียกได้ว่าเจ้าเด็กนี่ได้เผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมมาแล้วทุกรูปแบบ ไม่เคยได้รับความสนใจจากบิดา หรือความรักจากมารดา

บิดาของอวี้จื้อเจี่ยคือผู้ฝึกตนในเส้นทางมาร อวี้เทียนซิงที่โด่งดัง มารดาของเขาคืออดีตนักพรตศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักเทพมารดร อวี้หลิงหลง และถูกบังคับโดยผู้เป็นบิดาของเขา ทำให้อวี้จื้อเจี่ยถูกเพิกเฉยและทำร้ายในหลายๆ ทางตั้งแต่เกิด ผ่านไปไม่นาน เจ้าคู่รักที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันนั่นก็สู้กันและจบลงโดยการเดินทางไปสวรรค์ทีล่ะคน อวี้จื้อเจี่ยตัวน้อยที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหลบหนีออกจากยอดเขาเหมันต์ของเทือกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาอยู่ หลังจากที่เดินทางไปในโลกกว้างเป็นเวลานานก็มาถึงเมืองเล็กๆ บนโลกมนุษย์—หลงเฟ่ย สถานที่ที่เขาพบกับตัวเอก

กระทั่งต่อตัวเอกที่ซื่อตรงและมีใจบริสุทธิ์ อวี้จื้อเจี่ยก็ไม่เคยเปิดใจของเขาออกจริงๆ แม้ว่าภายใต้อำนาจของตัวเอก เขาจะไม่ได้หม่นหมองและเลือดเย็นในฐานะของเด็กคนหนึ่ง ทว่าหลังจากที่ทั้งสองอายุสิบสามและผ่านเหตุการณ์สองสามอย่างไปด้วยกัน ความรู้สึกริษยาของเขาที่มีต่อตัวเอกก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ควรจะรู้เอาไว้ว่า หนังสือได้บอกว่าอวี้จื้อเจี่ยคือผู้ที่มีความสามารถเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี และในช่วงแรก เขาเหนือกว่าตัวเอกอย่างก้าวกระโดด จะอย่างไร เขาก็ได้รับสืบทอดสายเลือดที่ทรงพลังมา ทว่าในช่วงหลัง เขากลับพ่ายแพ้อย่างง่ายดายให้กับตัวเอกที่มักจะโชคเข้าข้าง ดังนั้นแน่นอนว่าความคิดและหัวใจของเขาจึงเริ่มไม่มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยความเข้าใจผิดจำนวนมาก และเพราะการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็เริ่มจะแยกตัวจากกันอย่างช้าๆ จนกระทั่งมันนำไปสู่การแตกหักอย่างสมบูรณ์แบบระหว่างทั้งสอง สุดท้ายแล้ว อวี้จื้อเจี่ยก็โหดเหี้ยมร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะทำลายโลกในที่สุด

ทว่าไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไรเอาไว้ เมื่อมองไปยังใบหน้ากลมราวกับซาลาเปาของเด็กชายที่กำหมัดแน่นและพยายามทำตัวเท่อยู่ใกล้ๆ หลิงเซี่ยก็ไม่อาจจะเชื่อมโยงอีกฝ่ายเข้ากับตัวร้ายอันเลวร้ายในนิยายไปได้ มากเสียจนกระทั่งเขากระทั่งคิดอยู่ในใจว่า: อา นี่มันก็แค่ไอ้หนูน้อยอวดดีที่น่ารักชัดๆ!

อวี้จื้อเจี่ยรับรู้ถึงสายตาแปลกประหลาดของหลิงเซี่ยได้อย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง เขาหันหน้าหนีและเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “คนปัญญาอ่อนเช่นเจ้ามองอันใดกัน?”

“…” ทำไมเขาถึงได้อยากดึงไอ้แก้มนั่นจริงๆ

หลิงเซี่ยยืนขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า และรู้สึกยินดีอย่างมากที่พบว่าเขาสูงกว่าเจ้าหนูทั้งสองถึงครึ่งช่วงศีรษะ

เขามองลงไปยังเด็กทั้งสองเบื้องหน้า และยื่นนิ้วชี้ออกไปส่ายไปมาด้วยท่าทีจริงจังอย่างมาก “อย่าเรียกข้าว่า ‘เอ้อตัน’ หรือ ‘เจ้าโง่’ อีก ข้าชื่อหลิงเซี่ย!”

ไม่ว่าเจ้าเด็กสองคนนี้จะยอดเยี่ยม OP หรือว่าน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงแค่ไหนในอนาคต ในตอนนี้ เด็กน้อยเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์กลมป่องราวกับซาลาเปาทั้งสองก็แสดงสีหน้าแบบเดียวกันเป็น: =口=

ความรู้สึกหม่นหมองจากการข้ามโลกอย่างกะทันหันของหลิงเซี่ยพลันดีขึ้นในทันที

ใช่แล้ว แม้ว่าเขาจะถูกโยนเข้ามาในโลกปลอมๆ ที่มีโอกาสตายสูงนี่ แต่ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสในการพบเจอกับเทพธิดาในดวงใจของเขา! หลิงเซี่ยพยายามตั้งตัว

ชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลอกตัวเอกที่มองโลกในแง่ดีมีจิตใจบริสุทธิ์ เด็กชายที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนกองฟางตรงข้ามกับหลิงเซี่ยยอมรับคำอธิบายของหลิงเซี่ยอย่างรวดเร็ว เขากระพริบตาปริบๆ ในระหว่างที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลิงเซี่ยดึงเอาฉากจากละครมาบางส่วน อย่างการถูกไล่ออกจากบ้านโดยแม่เลี้ยง จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ศีรษะและสูญเสียความทรงจำไปชั่วคราว ฯลฯ

ซงเสี่ยวหูเต็มไปด้วยความสงสาร เด็กชายถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าการมีมารดาก็ไม่จำเป็นว่าต้องมีความสุข… แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังคงอยากตามหาครอบครัวของข้าอยู่ดี”

หลิงเซี่ยมองไปยังใบหน้าใสซื่อน่ารักราวกับนักบุญของตัวเอกที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นกระดำกระด่างราวกับแมวจร แน่นอนว่าในโลกใบนี้ นิสัยราวกับนักบุญนั่นคือส่วนที่น่าประทับใจที่สุดของตัวละครตัวหนึ่ง…

ใช่แล้ว เป้าหมายแต่เดิมของตัวเอกคือการตามหาบิดามารดาและฝึกฝนวิชาเพื่อที่จะเสริมความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ การหาอาจารย์ รวบรวมสมาชิกฮาเร็ม จัดการตัวร้าย หรือการตามหาพวกพ้องล้วนเป็นเรื่องรอง

อวี้จื้อเจี่ยฟังอย่างไม่เชื่อถือ กำหมัดแน่นและเหลือบมองหลิงเซี่ยครั้งหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม “เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะจำได้หรือว่าเจ้ามาจากที่ใด? แล้วเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

แทบจะทันที หลิงเซี่ยพลันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกกดดันบางเบาทว่าให้ความรู้สึกไม่สบายตัว

เขาชะงัก และมองไปยังอวี้จื้อเจี่ยอีกครั้ง

กลับกันกับซงเสี่ยวหู ดวงตาที่ราวกับดาราของอวี้จื้อเจี่ยเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่เป็นมิตร ปานสีแดงสดที่มุมตาของเขาทำให้ผิวของเขาดูละเอียดเสียยิ่งกว่าหยก เรือนผมตรงยาวสีดำสนิทราวกับไม้มะเกลือของเขาถูกมัดรวบไว้หลังศีรษะอย่างเรียบร้อย และอาจเป็นเพราะขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ทำให้เขาดูอ่อนแอและผอมบางกว่าซงเสี่ยวหูที่ร่างกายกำยำแข็งแรง

หลิงเซี่ยได้สติอย่างรวดเร็ว จะอย่างไรอวี้จื้อเจี่ยก็คือหัวหน้าตัวร้ายที่จะทำลายโลกในอนาคต! แค่เมื่อครู่ เขาทำเหมือนกับอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว… เรื่องที่เขาเล่าไปก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยช่องว่าง เป็นสิ่งที่หลอกได้อย่างมากก็ซงเสี่ยวหูที่แสนใสซื่อเท่านั้น!

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ตัวเอกมีเวลาเติบโต เขาก็อาจจะไม่ได้ใสซื่อหลอกง่ายเช่นกัน ควรจะรู้ไว้ว่าแม้ว่าไอ้นิยายหลอกลวงนี่จะไม่ได้ตกต่ำหรือโด่งดัง ในบอร์ดสนทนาก็มีแฟนคลับผู้หญิงที่คอยจินตนาการและเขียนแฟนฟิคระหว่างอวี้จื่อเจี่ยและซงเสี่ยวหูเอาไว้จำนวนมาก ส่วนมากก็จะเป็นซงเสี่ยวหูที่ดูใสซื่อจากภายนอกทว่าจริงๆ แล้วโหดร้ายเป็นเมะ และอวี้จื้อเจี่ยที่ทำตัวแสนดีทว่าเป็นคนสองหน้าแสนร้ายกาจเป็นเคะ (…)

หลิงเซี่ยพลันขยับท่านั่งให้ดูผ่อนคลาย แสดงท่าทีให้เป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้และแสร้งแสดงสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักออกไปอย่างสุดชีวิต “ถึงเช่นนั้นข้าก็ไม่ได้จำได้ทั้งหมด มีเพียงว่าบิดาข้าแซ่ ‘หลิง’ นาม ‘หลิงจื้อหยวน’ และบ้านเกิดข้ามีคำว่า ‘ไฟ’ อยู่ในชื่อหรืออะไรประมาณนั้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี้จื้อเจี่ยก็เริ่มเชื่อเขามากขึ้นไปเป็นเจ็ดแปดส่วน ‘เอ้อตัน’ คนก่อนเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองนี้เพียงเมื่อสองสามปีก่อน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามาจากที่ใด ดังนั้นแล้วถ้าหลิงเซี่ยสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างละเอียด ในทางกลับกัน เขาอาจจะถูกสงสัย หลังจากที่ส่งเสียงไม่พอใจออกมาชัดๆ ครั้งหนึ่ง เด็กชายก็หันหน้าหนีไป สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่มีทางที่เขาจะสนใจในตัวของเจ้าโง่สกปรกคนหนึ่ง

นอกจากนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะซงเสี่ยวหูคอยดูแลเจ้าโง่นั่น เขาย่อมไม่มีทางเหลือบมองขอทานข้างถนนอย่างเจ้านี่แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง

ซงเสี่ยวหูไม่ได้รับรู้ถึงความระแวดระวังของอวี้จื้อเจี่ยแม้แต่น้อย ทำเพียงเผยลักยิ้มแสนน่ารักของเขาออกมาและหัวเราะ “เช่นนั้นเอ้อ… หลิงเซี่ย เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำเช่นข้าเป็นครอบครัวของเจ้านับจากนี้ล่ะ”

หลิงเซี่ยผงกศีรษะ ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตอบ “แน่นอน เช่นนั้นเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเสี่ยวหูเป็นน้องชายมานานแล้ว”

เขาลอบยินดี จะอย่างไรนี่ก็คือตัวเอก! ตัวเอกที่ยอดเยี่ยมและทรงพลัง! มันจะดีที่สุดในการสร้างสายสัมพันธ์อันดีและรักษาคนหนุนหลังที่ทรงพลังเอาไว้ตั้งแต่แรก ฮ่าฮ่าฮ่า!

ซงเสี่ยวหูกระพริบตา ยิ้มกว้างจนกระทั่งมองเห็นฟันกราม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง “พี่ใหญ่หลิง!”

หลิงเซี่ยรู้สึกพึงพอใจในตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเองของเขาพุ่งสูงจนเกือบถึงชั้นสตราโทสเฟียร์ เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบศีรษะของตัวเอก ขยี้เส้นผมสั้นชี้ราวกับเม่นของอีกฝ่ายอย่างมันมือ

ในทางกลับกัน ซงเสี่ยวหูกลับเริ่มอายขึ้นมาเล็กๆ ตลอดการเดินทางของเขา ตั้งแต่ออกจากภูเขาจนมาถึงที่นี่ การจะเจอใครที่สุภาพและยอมที่จะมอบซาลาเปาให้เขาสักลูกก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ส่วนมากทำเพียงแค่ตวาดและหลบเลี่ยงเขาเพราะเขาตัวสกปรก เมื่อใดกันที่มีคนทำตัวใกล้ชิดกับเขาเช่นนี้? แม้ว่าเขาจะมีบุคลิกร่าเริงเรียบง่าย เขาก็ยังคงใฝ่หาครอบครัวอย่างจริงจัง ดังนั้นตอนนี้ มุมตาของเขาจึงเปียกชื้นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

อวี้จื้อเจี่ยเหวอไปกับภาพความรักใคร่ใกล้ชิดอย่างพี่น้องต่อหน้าเขา มิตรภาพระหว่างเขาและซงเสี่ยวหูนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาคิดว่าความสามารถของอีกฝ่ายสูงมาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ในการคบหาด้วย มันก็เท่านั้น พฤติกรรมระหว่างพวกเขาเองก็เรียกได้ว่าเมินเฉยต่อกัน เมื่อใดกันที่เขาจะเคยทำตัวใกล้ชิดเช่นนี้?

หลิงเซี่ยละมือของเขาออกมาอย่างพึงพอใจก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองยังอวี้จื้อเจี่ย มองเด็กชายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง การได้เป็นพี่ชายของทั้งตัวเอกและตัวร้าย นี่คือสิ่งที่เรียกว่าชีวิต! ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาอยากจิ้มแก้มของตัวร้ายมานานแล้ว!

แน่นอน ซงเสี่ยวหูที่ดูใสซื่อจากภายนอกทว่าจริงๆ แล้วโหดร้ายพลันรับรู้ถึงความคิดของเขาและหันไปยังอวี้จื้อเจี่ยก่อนจะเอ่ยเร้า “อาเจี่ย รีบทักทายพี่ใหญ่เร็ว”

หลิงเซี่ยกลั้นขำอยู่ในใจ มองอวี้จื้อเจี่ยด้วยสายตาระยิบระยับราวดวงดาว เต็มไปด้วยความคาดหวัง

ผลคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงของตัวร้ายเพียงเมื่อครู่พลันกลับกลายเป็นแดงก่ำด้วยความอาย

อวี้จื้อเจี่ยตอบโต้อย่างขุ่นเคือง “เจ้าอยากเรียกเขา ‘พี่ใหญ่’ ก็เรื่องของเจ้า ข้าเกี่ยวอันใดด้วย?”

เขามองไปยังซงเสี่ยวหูอย่างดุดัน จากนั้นจึงสะบัดชายเสื้อเดินจากไป

 

 


TL: นึกถึงแก้มป่องๆ ของเด็กๆ แล้วก็อยากจะดึงกับเขาบ้างล่ะค่ะ//ขยับมือ