บทที่ 158: เลือกเครื่องสังเวย (2)

 

 

 

อัลแตร์แสดงสีหน้างุนงงออกมา

เลือกเครื่องสังเวย

เธอไม่รู้ว่าอะไรคือเครื่องสังเวย แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี

ในเมื่อทั้งหมู่บ้านได้ตกอยู่ในความวุ่นวายหลังจากการเลือกเริ่มต้นขึ้น

และราวกับว่าการได้รับโหวต 3 โหวตเป็นเรื่องสำคัญ เสียงทะเลาะเบาะแว้งได้ดังขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีเสียงสบถที่ดังขึ้นไปทั่ว

บางคนกำลังวิ่งไปยังบางแห่ง และคนอื่นๆ กำลังพูดคุยถึงบางอย่าง

แต่ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าร้อนใจ

ในตอนนั้นเอง

คนจำนวนหนึ่งที่กำลังสร้างความวุ่นวายได้เข้ามาใกล้อัลแตร์และกลุ่มของเธอ

“เฮ้! เด็กใหม่! มาคุยกันหน่อยสิ!”

“…”

อัลแตร์ชะงักไปขณะที่เธอมองไปยังคนเหล่านั้นที่เข้าใกล้พวกเธอด้วยท่าทีคุกคาม

กลุ่มของเธอมีคนเพียงราวๆ 9 คน

แต่อีกฝ่ายมีอย่างน้อย 20 คน

และดวงตาของคนเหล่านั้นก็ส่องประกายโรจน์ราวกับว่าพวกเขากำลังรีบร้อน

นี่มันอันตรายมาก

ในเมื่อผู้ที่ไม่เหลือทางถอยอีกต่อไปอาจทำบางอย่างอย่างไร้สติได้

‘บ้าเอ้ย อย่างน้อยก็บอกพวกเราหน่อยว่าการเลือกมันคืออะไร’

ในตอนนั้นเอง

ฟึ่บ!

หนึ่งในการ์ดที่กำลังเฝ้ามองจากหอคอยเฝ้าระวังได้กระโดดลงมาบนพื้น

ตึก

เสียงของอีกฝ่ายที่ทิ้งตัวลงมาบนพื้นแผ่วเบามาก แต่ผลของมันไม่ได้แผ่วเบาเช่นนั้น

“อึก…”

ชาวนาที่กำลังเดินเข้ามาพลันชะงักไปพร้อมกับมองไปยังการ์ด

เฮลลัม การ์ดที่กระโดดลงมาแย้มยิ้มก่อนจะตะโกนไปยังคนรอบๆ

“พวกนายก็รู้แล้ว ว่าความรุนแรงเป็นเรื่องต้องห้าม”

“เวรเอ้ย…”

อัลแตร์ถอนหายใจขณะที่เธอมองไปยังผู้คนที่เดินจากไปก่อนจะเบนสายตาไปยังการ์ดแทน

คนที่พาเธอเดินสำรวจหมู่บ้านเป็นคนแรก

อัลแตร์เอ่ยถามเฮลลัม

“อะไรคือการเลือก แล้วทำไมมันถึงได้สร้างความวุ่นวายขนาดนี้?”

เฮลลัมหัวเราะ

“อืม ถ้าจะพูดง่ายๆ มันก็คือคะแนนความนิยม”

“อะไรนะ?”

อัลแตร์เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

คะแนนความนิยมนั้นเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนลนลานขนาดนี้เลยเหรอ?

ไม่มีทาง

เฮลลัมเอ่ยข้อมูลเพิ่มขึ้นขณะที่มองไปยังอัลแตร์

“เธอก็เห็น หมู่บ้านของพวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเราต้องเลือกเครื่องสังเวยออกไป แบบเสมอต้นเสมอปลาย”

“…”

เครื่องสังเวย

คำที่ไม่ได้มีความหมายดี

เฮลลัมเอ่ยต่อขณะที่มองไปยังอัลแตร์

“ความจริงแล้ว ฉันเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่กลายไปเป็นเครื่องสังเวย แต่มันก็เป็นความจริงที่มันให้ความรู้สึกไม่ดีเลยใช่ไหมล่ะ? นั่นเป็นสาเหตุให้ทุกคนพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเติมเต็มโควต้าของตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไป แต่… วิธีการแบบนี้มันครุมเครือมาก และถ้าจะนับจากความแข็งแกร่งแล้ว… มันก็แปลกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? พวกเราไม่สามารถจัดอันดับทุกคนตามความแข็งแกร่งได้ และความแข็งแกร่งของคนๆ หนึ่งก็อาจจะแตกต่างออกไปตามแต่ว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนแค่ไหน และสำหรับการที่จะปล่อยให้ใครบางคนเลือกคนสังเวยออกไปเหมือนราชา… หมู่บ้านของเราก็ยังมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่บ้าง เธอก็เห็น”

“… ก็ใช่”

“นี่เป็นสาเหตุให้เกิดระบบโหวตขึ้น”

โหวต

กฎนั้นง่ายมาก

หนึ่งโหวตต่อหนึ่งคน

ชาวนาสามารถมอบมันให้กับใครที่พวกเขารู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อหมู่บ้านก็ได้ยกเว้นตัวเอง

และมันคือตัวเลือกของพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะมอบมันให้กับใคร

ในเมื่อใครบางคนอาจจะเป็นที่ต้องการสำหรับพวกเขาแม้ว่าจะไม่เป็นที่ต้องการของคนอื่นๆ

“จำนวนเปลี่ยนไปทุกครั้ง แต่… ด้วยปริมาณของเครื่องสังเวยที่เราต้องการในครั้งนี้ พวกเธอต้องได้อย่างน้อยสามโหวต นี่คือเหตุผลเดียวที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น มันยังมีครั้งที่ต้องใช้ห้าโหวตด้วย”

เฮลลัมเกือบจะเอ่ยต่อ แต่ก็เก็บประโยคต่อไปเอาไว้

ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นในการทำตัวสุภาพต่อผู้หญิงหยาบคายที่ไม่เห็นหัวคนแก่กว่า

‘มันเสียเปรียบอย่างมากสำหรับพวกคนมาใหม่อย่างพวกเธอ’

มันไม่ใช่เรื่องของความจำเป็น แต่เป็นว่าคนเหล่านั้นอาศัยอยู่ในหมู่บ้านมานานแค่ไหน

คนในหมู่บ้านมักจะสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน

ว่าพวกเขาจำเป็นในหมู่บ้านแบบนี้

ตอนแรกพวกเขาได้สร้างวิธีการนี้ขึ้นมาเพียงแค่เพื่อเลือกเครื่องสังเวย แต่มันได้สร้างผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดีต่อทั้งชุมชน

โดยส่วนมากแล้วคนจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะหาผลประโยชน์

แม้ว่าจะต้องทำร้ายเพื่อนของตนเองก็ตาม

แต่เมื่อระบบเลือกเครื่องสังเวยเกิดขึ้น พวกเขาก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้

ในเมื่อพวกเขาจะกลายเป็นเครื่องสังเวยในการเลือกครั้งต่อไป

ไม่มีใครต้องการให้มีตัวอันตรายอยู่ใกล้ๆ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอันตรายจนเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกันก็ตาม

และเพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ รวมทั้งรักษาโอกาสในการโหวตเอาไว้ ชาวบ้านจึงค่อนข้างจะระมัดระวังในเรื่องนี้ในช่วงวันปกติเช่นกัน

มันมีเวลา 3 วันในการหาคะแนนเสียง แต่การได้ก่อนหน้านั้นมันปลอดภัยกว่า

อัลแตร์แสดงสีหน้าตะลึงงันออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของเฮลลัมที่บอกว่าเธอต้องได้รับสามโหวต

งั้นปัญหาใหญ่ก็จะเกิดขึ้นจากเรื่องนี้

“อะไรนะ… นายหมายความว่าประชากรสองในสามของหมู่บ้านจะกลายไปเป็นเครื่องสังเวยงั้นเหรอ?”

มันไม่มีเหตุผลเลย

เธอไม่รู้ว่าระบบเครื่องสังเวยนี่มีมานานแค่ไหน แต่ถ้าพวกเขาตัดคนจำนวนมากขนาดนั้นออกไป งั้นมันไม่มีทางที่จะรักษาหมู่บ้านเอาไว้ได้

เฮลลัมแย้มยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“อืม จริงๆ แล้ว… มันแตกต่างออกไปนิดหน่อย”

“อะไรนะ?”

“ชาวนาอย่างพวกเธอมีแค่หนึ่งโหวตต่อหนึ่งคน แต่มันไม่มีกฎไหนบอกว่าคนอื่นๆ จะเหมือนกันสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ?”

มันเป็นประชาธิปไตย ใช่

แต่มันก็แค่เป็นประชาธิปไตย <ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้>

มันไม่เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริง

 

 

 

คาร์ฮาล นักล่าที่กลับมาสู่หมู่บ้านผิวปากขณะที่เขามองไปยังแมคคิลที่มองมาที่เขาด้วยสีหน้ารังเกียจ

“โอ้ ทำไมพวกเธอถึงมาหาฉันล่ะ? ทั้งๆ ที่พูดแบบนั้นไปแล้วแท้ๆ”

แมคคิลกัดฟันกรอดและเอ่ยขึ้น

“แกรู้ว่ามันเป็นเวลาเลือกเครื่องสังเวยของหมู่บ้าน”

ทันทีที่แมคคิลและคนอื่นๆ อีก 200 คนเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเธอก็ได้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอีกสถานการณ์

ในเมื่อพวกเธอ ผู้ที่ถูกพวกเครอนและเอไทนอลลักพาตัวไปทันทีที่เข้ามาในหมู่บ้านไม่มีสัมพันธ์กับใครใดๆ ทั้งสิ้น

แม้ว่าพวกเธอจะโหวตกันเอง พวกเธอก็จะรอดกันแค่ 70 คน

คาร์ฮาลผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ฉันรู้”

คาร์ฮาลเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ

แมคคิลตะโกนอย่างหัวเสียจากท่าทีของคาร์ฮาลที่ดูราวกับกำลังเอ่ยถามว่าแล้วมันมีปัญหาอะไร

“บ้าเอ้ย! ทำไมพวกแกถึงได้พาเรามาที่หมู่บ้านทันที! พวกแกน่าจะรอจนกว่าการเลือกจะสิ้นสุดลงแล้วค่อยพาพวกเรากลับมา!”

การเลือกเครื่องสังเวยไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น

ถ้าคาร์ฮาลปล่อยพวกเธอทิ้งไว้ในความมืดจนกว่ามันจะสิ้นสุดแล้วค่อยพาพวกเธอมา?

งั้นพวกเธอก็จะสามารถหลบเลี่ยงการเลือกครั้งนี้ไปได้

และจากนั้นพวกเธอก็จะสามารถซื้อเวลาได้บ้าง

จนกว่าการเลือกเครื่องสังเวยครั้งต่อไปจะมาถึง

คาร์ฮาลแสยะยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนั้น

รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

แมคคิลชะงักไปกับสีหน้าของคาร์ฮาล

“…อะไร?”

คาร์ฮาลหัวเราะก่อนจะเอ่ยขึ้น

ด้วยท่าทีที่กำลังบอกว่าเธอมันก็แค่นี้เหมือนกัน

“เธอกำลังจะบอกว่าเธอต้องการจะหลบการเลือกครั้งนี้ด้วยตัวเอง… แล้วถ้าพวกเธอ 200 คนไม่เข้าร่วมล่ะ? งั้นแล้วอีก 200 คนที่จะถูกลากไปแทนล่ะ?”

“…”

“อย่างน้อยพวกนั้นก็ทำงานอย่างหนักในการหาเสบียงเข้ามาในหมู่บ้านและไม่รีรอที่จะเลียเท้าของคนอื่นเพื่อที่จะหาโหวต พวกนั้นดิ้นรนมากเท่าที่จะสามารถทำได้ และถ้าเทียบพวกนั้นกับพวกเธอ… มันชัดเจนว่าใครควรจะถูกเอาตัวไปใช่ไหม?”

มันไม่มีความจำเป้นให้คาร์ฮาลตัดสินอะไรอยู่ดี

ในเมื่อผลของการโหวตจะบอกพวกเขา

“แต่สุดท้ายแล้ว อืม… มันก็หมายความว่าพวกเธอมาไกลได้ขนาดนี้เพราะว่าพวกเธอเหยียบคนอื่นขึ้นมา”

แมคคิลไม่อาจอดกลั้นความโกรธของเธอได้และตวาดออกไป

“ไอ้สารเลวบัดซบ! นั่นมันเพราะว่าพวกเราถูกจับไปโดยพวกแกต่างหาก!”

คาร์ฮาลผงกศีรษะเมื่อเขาได้ยินเสียงตวาดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของแมคคิล

พร้อมกับลบรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาออกไป

“ใช่แล้ว ดังนั้นมันถึงทำให้พวกเธอมาหาพวกเราใช่ไหมล่ะ? พวกเธอต้องการให้พวกเรารับผิดชอบ?”

“เฮือก… เฮือก”

แมคคิลอดกลั้นความโกรธของเธอเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะเริ่มสูดลมหายใจเข้าออกแรงๆ

อีกฝ่ายรู้ดีว่าเธอต้องการอะไร

ตอนนี้มันถึงเวลาเข้าเรื่อง

“ใช่แล้ว ถ้าพวกแกยังเป็นมนุษย์อยู่… อย่างน้อยครั้งนี้ก็ให้โหวตกับพวกเรา พวกนายมี… คนล่ะสิบโหวต”

นักล่ามีสิทธิพิเศษสองอย่าง

หนึ่ง พวกเขาถูกละเว้นจากการโหวตอย่างสิ้นเชิง

สอง พวกเขามีคนล่ะสิบโหวต

มันก็ไม่ผิดถ้าจะบอกว่ามันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง

ในเมื่อนักล่าคือกำลังสำคัญที่แม้แต่ชาวนาสิบคนก็แลกไม่ได้

นี่คือสิทธิพิเศษที่แท้จริงของนักล่าที่อาศัยอยู่เหนือชาวนา

สำหรับพวกเขา การเลือกนี้ก็เหมือนกับการมองไฟไหม้จากอีกฝั่งของแม่น้ำ

นี่คือสาเหตุให้แมคคิลมาหาคาร์ฮาล

หน่วยของคาร์ฮาลมีสามสิบคน มีทั้งหมด 300 โหวต

และจะยิ่งมากไปกว่านั้นถ้าพวกนั้นสามารถเอ่ยขอให้คนอื่นช่วย

คาร์ฮาลหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของแมคคิล

“เธอขอมากเกินไปแล้ว เธอกำลังขอให้พวกเรามอบอำนาจในการที่จะช่วยคน 200 คนให้เธอ”

แมคคิลกัดฟันกรอดแล้วเอ่ยขึ้น

“แล้วจะทำยังไงได้ และพวกแกก็จะเมินไปเฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะไปหยุดปากของคนที่จะกลายเป็นเครื่องสังเวยได้ยังไง?”

ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ถูกลากไปเป็นเครื่องสังเวย

แต่มันชัดเจนว่าอย่างน้อยพวกนั้นไม่จำเป้นต้องมาสนใจพวกนักล่าอีกต่อไป

ถ้าพวกเขารวมตัวกันและเปิดเผยพวกนักล่า งั้นหายนะก็จะเกิดขึ้นกับพวกนักล่า

คาร์ฮาลครุ่นคิดไปชั่วขณะ มองไปยังแมคคิลที่กำลังข่มขู่เขาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมผงกศีรษะ

“แน่นอน ในเมื่อมันไม่ใช่แค่เครอนและเอไทนอลที่ผิด พวกเราก็คงต้องรับผิดชอบสักหน่อยเหมือนกัน”

ทันทีที่สีหน้าของแมคคิลสดใสขึ้นจากคำตอบของคาร์ฮาล คาร์ฮาลก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“แต่พวกเราจะมอบ 600 โหวตให้พวกเธอทั้งหมดไม่ได้ เราสามารถ อืมมม… ใช่แล้ว 300 พวกเราจะมอบให้พวกเธอแค่ 300 โหวต”

“อะไรนะ?”

คาร์ฮาลแสดงสีหน้าที่ราวกับกำลังบอกว่า ‘ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนแล้วเหรอ?’

“แน่นอน ทำไมพวกชาวนาจะต้องวิ่งมาเลียเท้าพวกเราด้วยล่ะ?”

นักล่าไม่อาจเล่นกับชาวนาได้ถ้าพวกเขาไม่ได้ฟรีพาสแม้ว่าพวกเขาจะเป็นนักล่าก็ตาม

แต่แม้จะไม่มีมัน มันก็มีชาวนาหลายคนที่หลบเลี่ยงสายตาของการ์ดและเข้ามาหานักล่าที่ด้านนอกของหมู่บ้าน

พวกเขาจะขายตัวเองให้กับนักล่าที่สามารถโหวตให้พวกเขาได้

และมันไม่มีเหตุผลให้นักล่าต้องปฏิเสธมัน

คาร์ฮาลเอ่ยต่อ

“มันมีโหวตบางส่วนที่พวกเราสัญญาว่าจะมอบให้คนอื่นเธอก็เห็น เธอต้องการจะให้พวกเราแย่งเอาทุกอย่างมาจากพวกเขาและมอบให้กับพวกเธอด้วยงั้นเหรอ? นี่มันเกินไปหน่อย นี่คือสิ่งที่มากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถมอบให้กับเธอได้ถ้าเราใช้อำนาจทุกอย่างที่พวกเรามี”

“…”

คำพูดที่ว่า ‘แกจะทำแบบนั้นไม่ได้’ แทบจะหลุดออกมาจากลำคอของเธอ แต่ว่าเธอกลืนมันกลับลงไป

เธอทำไม่ได้

เพราะหากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าพวกเธอจะสามารถหลบเลี่ยงการโหวตครั้งนี้ไปได้ พวกเธอก็จะถูกฆ่าโดยพวกชาวนากันเอง

‘…จะไปเอาโหวตที่เหลือจากที่ไหน?’

สีหน้าของแมคคิลเปลี่ยนไปเป็นความลนลานอย่างช้าๆ

คาร์ฮาลหัวเราะขณะที่เขามองไปยังแมคคิลก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ลองไปหาเจ้าฮันซูนั่นดูสิ ถึงฉันจะไม่แน่ใจว่าพวกเธอคือพวกเดียวที่กำลังรีบอยู่ก็ตามที”

“อะไรนะ?”

 

 

 

อัลแตร์นำกลุ่มของเธอและรีบวิ่งผ่านหมู่บ้านไป

‘ฉันต้องรีบหาเขา’

ฮันซูคือความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของพวกเธอ

พวกเธอมี 9 คน

โหวตที่พวกเธอต้องการคือ 27 แต่มันไม่มีใครที่จะมอบโหวตให้พวกเธอเลย

ไม่มีเลย

พวกเธอต้องการ 10 โหวตนั่นจากฮันซูเป็นอย่างน้อยและเริ่มจากตรงนั้น

แต่อัลแตร์ตระหนักได้ว่าเธอช้าไปก้าวหนึ่งหลังจากที่มาถึง

“โปรดมอบโหวตให้ฉันโหวตหนึ่ง! แค่โหวตเดียว! ฉันได้มาสองแล้ว!”

“ได้โปรด! ฉันจะทำตามทุกอย่างที่คุณบอกถ้าคุณให้ฉันสองโหวต! ฉันสะสมรูนไว้ค่อนข้างมากเหมือนกันนะ! ได้โปรด ฉันขอร้องล่ะ!”

รอบกายของฮันซูได้เต็มไปด้วยความวุ่นวายแล้ว

มันไม่ใช่แค่คนหรือสองคน

คนนับร้อยได้ล้อมอยู่รอบตัวเขา

‘พระเจ้า…’

อัลแตร์เดาะลิ้น

แต่เธอรู้เหตุผล

มันมีนักล่าจำนวนจำกัดในหมู่บ้าน

และโหวตของนักล่าเหล่านั้นได้ถูกกำหนดไว้ก่อนการโหวตแล้ว

นักล่าที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นใหม่ ฮันซู เหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายของพวกเขา

อัลแตร์หยุดชะงักขณะที่มองไปยังท่าทีของกลุ่มคนจำนวนมาก

แม้ว่าความรุนแรงจะเป็นเรื่องต้องห้าม แต่เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขาแล้ว มันไม่ได้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างเงียบๆ

อืม ทุกคนที่นี่ก็ทำได้แค่แบบนั้น

ในเมื่อพวกเขาล้วนเห็นว่าอะไรที่ผู้เก็บรวบรวม เจ้าตัวที่ถูกเรียกว่าดาคิดัส ใช้เคี้ยวเป็นขนม

พวกเขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่ถูกส่งไปเป็นเครื่องสังเวย

แต่ถ้าพวกเขาถูกไล่อออกไปจากที่นี่?

พวกเขาจะถูกลากไปโดยไอ้ตัวที่ทำเหมือนมนุษย์เป็นขนม

ในขณะที่ทุกคนกำลังตะโกนถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถมอบให้ได้เสียงดังด้วยสีหน้ากระวนกระวาย หนึ่งในคนที่มาที่นี่ได้มองไปยังกลุ่มของอัลแตร์และเอ่ยขึ้น

ในเมื่อมันเป็นเวลาสักพักแล้วที่ใบหน้าของเด็กใหม่ที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นพักหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้เพราะว่าการ์ด แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังคงกระซิบเสียงแผ่วกับอัลแตร์

“เฮ้ มันจะไม่ดีกว่าเหรอในการที่เธอจะไม่เข้าไปยุ่ง?”

“อะไรนะ?”

ชายคนนั้นมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ทุกคนที่นี่ได้มาอย่างน้อยสองโหวตแล้วเธอก็เห็น พวกเขาทำงานอย่างหนักในวันธรรมดาเพื่อมัน”

ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้วขณะที่เอ่ยขึ้น

ในเมื่อเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

‘บ้าเอ้ย… ฉันคิดว่าแค่ 2 โหวตก็พอแล้วซะอีก’

แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นโหวตไหนก็มีค่าเท่ากับชีวิตหนึ่ง

“ซึ่งหมายความว่าพวกเธอสิบคนจะไม่รอดจากโหวตของหมอนั่น แต่พวกเธอต้องการคนล่ะสิบโหวตถึงจะรอด ถ้าจะพูดตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่ใช่ว่าสิบมันดีกว่าสามเหรอ? มันไม่ใช่ว่าพวกเธอจะตายซะหน่อย ใครจะไปรู้ล่ะ บางทีพวกนั้นอาจจะปฏิบัติต่อพวกเธออย่างดีตอนที่ไปที่นั่นก็ได้?”

‘ไอ้ลิงนี่… พูดแบบนั้น…’

อัลแตร์แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

เธอไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเครื่องสังเวย แต่เธอพอจะเดาได้บ้างจากท่าทีของผู้คน

เธอจะต้องไม่ถูกพาตัวไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

‘พวกเราเป็นคนรู้จักกัน… เขาคงไม่ทำเหมือนกับฉันเป็นคนแปลกหน้า’

อัลแตร์ปรับสีหน้าของเธอก่อนจะเดินไปหาฮันซู

 

 

 


TL: ปู่ฮอตเว่อ