บทที่ 151: พื้นที่หนึ่ง (1)

 

 

 

ป้อมปราการไม้

ชายหญิงราวๆ 40 คนได้รวมตัวกันที่หน้าเครื่องกั้นไม้ หันหน้าเข้าหาพื้นที่หนึ่ง

เมื่อเทียบกับอีก 41 พื้นที่ที่มีนักล่านับร้อยรับผิดชอบ ที่นี่ก็มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้น

แต่มันไม่ใช่ว่าพื้นที่หนึ่งปลอดภัยกว่าหรือมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ

ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาตั้งกลุ่มยอดฝีมือกลุ่มเล็กๆ ขึ้นเพื่อที่จะตรวจตราพื้นที่ในเมื่อมันมีตำแหน่งที่ไม่มีใครรู้จักอยู่จำนวนมาก รวมทั้งขนาดของมันยังใหญ่มาก

เผื่อว่าอันตรายที่แทรกซึมลึกอยู่ภายในพื้นที่หนึ่งที่อาจปรากฏออกมาได้ตลอดเวลา

ไม่เหมือนกับนักล่าในพื้นที่อื่นๆ ที่ล่าสัตว์อสูร นักล่าที่รับผิดชอบพื้นที่หนึ่งทำเพียงตรวจตราพื้นที่เท่านั้น

ทว่านักล่าในหน่วยนี้รวมตัวกันด้วยสมาชิกที่เก่งกาจที่สุดภายในหมู่บ้าน

ในเมื่อพื้นที่นี้มันอันตรายในระดับนั้น

หัวหน้าหน่วยที่รับผิดชอบพื้นที่หนึ่ง คาร์ฮาล มองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“นายคือเด็กใหม่สินะ นายบอกว่านายชื่อฮันซูใช่ไหม?”

คนอื่นๆ ในหน่วยพื้นที่หนึ่งก็มองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นกัน

เครอนนับเป็นเพื่อนพ้องที่ค่อนข้างพึ่งพาได้ของพวกเขา

แม้ว่านิสัยของเขาจะห่วยแตก เรื่องแบบนั้นไม่ใช่ปัญหาในอีกโลก

ปัญหาคือการเป็นตัวถ่วงคนอื่นๆ

ในเมื่อนั่นมันก็เหมือนๆ กับการแทงข้างหลังพวกเขา

‘ถ้าเจ้าเด็กนี่เอาชนะเครอนได้ นั่นก็หมายความว่าเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่… เรายังไม่รู้จักนิสัยของหมอนี่’

คาร์ฮาลคิดขึ้นกับตนเอง

พวกเสียสติที่มีความสามารถคือพวกที่อันตรายที่สุด

และในเรื่องนั้น เครอนที่เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยพวกเขาไม่ได้ทำผิดพลาด

ในเมื่อตอนที่พวกเขาสู้ด้วยกันกับหมอนั่น หมอนั่นค่อนข้างจะไว้ใจได้ในการปกป้องด้านหลังของพวกเขา

แม้ว่าเขาจะเป็นตัวตนอันน่าหวาดกลัวของพวกชาวนา มันก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขา นักล่า จะไปสนใจ

คาร์ฮาลเป็นรุ่นพี่ในหมู่บ้านที่กำลังจะครบสัญญาหนึ่งปีและออกจากหมู่บ้านในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า แต่เขาก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายและรับรู้ได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลโชกบนแผ่นหลังของเขาตอนที่เขาเข้าไปในพื้นที่หนึ่ง

และพวกเขาต้องตรวจตราพื้นที่ที่โคตรอันตรายนี้ทุกวัน

การที่ชาวนาจะบริการให้พวกเขาก็เป็นเรื่องที่แน่นอน

‘ชาวนา ใครไปสนใจเจ้าพวกนั้นกัน’

ปัญหาคือเด็กใหม่ข้างหน้าเขา

และการที่หมอนั่นจัดการเครอนทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในหมู่บ้านหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พวกขี้ขลาด

และมันดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องพาเจ้าหมอนี่ไปทำงานของพวกเขาด้วย

ไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด พื้นที่หนึ่ง

‘ฉิบหายเอ้ย… เอคิดู เธอคิดบ้าอะไรอยู่’

คาร์ฮาลพึมพำอย่างสับสน

พื้นที่หนึ่งคือที่ที่จะสามารถมาได้ก็ต่อเมื่อเริ่มต้นที่พื้นที่สี่สิบเอ็ดและค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาอย่างช้าๆ

ทำไมเธอถึงได้ใส่เจ้าหมอนี่มาที่พื้นที่หนึ่ง

‘ชิ มันไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้ ฉันเดาว่าฉันคงต้องเอาเขาไปไว้ที่ที่ปลอดภัยที่สุด’

การที่ไม่ชอบขี้หน้าอีกฝ่ายคือเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าหมอนี่ทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมา ทั้งหน่วยก็จะตกอยู่ในอันตราย

“เซบาสเตียนนี่ มานี่ วันนี้เธออยู่กับเด็กใหม่”

“… เชี่ย หัวหน้าหน่วย นี่คุณจริงจังป่ะเนี่ย?”

เสียงสบถดังขึ้นจากปากของผู้หญิงผมบลอนด์คนหนึ่งที่ชื่อว่าเซบาสเตียนนี่

เธอทำได้แค่นั้น

ในเมื่อตอนนี้เธอกำลังรับผิดชอบระเบิดเวลาอยู่

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรู้สึกหัวเสียถ้าต้องมาแบกภาระในขณะที่การดูแลชีวิตของตัวเองก็ยากมากพอแล้ว

คาร์ฮาลขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“อย่ากังวล พวกเธอแค่ต้องไปแถวๆ ต้นโอคุน”

“โอ้?”

คาร์ฮาลหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เขามองไปยังเซบาสเตียนนี่ที่แสดงสีหน้ายินดีออกมา

“อย่าดีใจนักเลย ในเมื่อเธอต้องรับผิดชอบในการสอนเด็กใหม่ มันคือความรับผิดชอบของเธอในการสอนเขาในระหว่างที่ตรวจตรา”

“โอ้ บ้าเอ้ย เขาจะ…”

ดวงตาของคาร์ฮาลจ้องไปยังเซบาสเตียนนี่ที่กำลังจะพูดต่อ

ในเมื่อมันจะค่อนข้างเป็นปัญหาถ้าเธอบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องสอนในเมื่อพวกเขาจะไม่ได้เจออีกฝ่ายหลังจากผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์

และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 1 สัปดาห์นั้น

อย่างน้อยมันก็จะเป็นปัญหาถ้าหมอนั่นถ่วงพวกเขาในช่วงหนึ่งสัปดาห์นั่น

“หยุดบ่นได้แล้ว แต่เธอจะใช้วิธีการไหนสอนก็ได้”

“… ก็ได้”

เซบาสเตียนนี่ผงกศีรษะราวกับว่าเธอเข้าใจว่าอีกฝ่ายสื่อถึงอะไร

และถ้าเธอสามารถใช้วิธีการไหนสอนก็ได้ตามที่ต้องการ งั้นมันก็จะค่อนข้างง่ายสำหรับเธอเช่นกัน

‘ฉันก็สอนเขาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็ได้ ถ้าเขาตายเพราะแบบนั้น งั้นมันก็เป็นความผิดของเขาเอง’

พวกเขาค่อนข้างมีสัมพันธ์อันดีกับนักล่าคนอื่นๆ ในเมื่อพวกเขาได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาอย่างน้อยหนึ่งปีแล้ว

และคนที่อยู่เบื้องหน้าเธอก็เป็นเหมือนกับคนแปลกหน้า

มันไม่มีอะไรที่เธอจะรู้สึกเศร้าแม้ว่าจะเกิดอะไรผิดพลาดขึ้น

เมื่อคาร์ฮาลเห็นเซบาสเตียนนี่ที่แสดงสีหน้าว่าเธอเข้าใจแล้วจึงเอ่ยขึ้นต่อ

“โอเค ถึงเวลาแบ่งหน่วยย่อยแล้ว เครอนและฉันจะรับผิดชอบส่วนตะวันตกเฉียงเหนือ อันคานตรวจตราแถวๆ แม่น้ำ โอเคียนอนและมาซาโตะไปลาดตระเวนแถวๆ ชายขอบเอพินอน…”

การที่คนสี่สิบคนเฮโลไปพร้อมๆ กันเป็นเรื่องโง่

มันจะดีกว่าในการที่เว้นระยะห่างระหว่างกันเอาไว้ในระดับหนึ่งและทำการตรวจตราให้เสร็จอย่างรวดเร็ว

“โอเค ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โยนพลุแดงขึ้นไปในอากาศ แยก”

มันมีหลายครั้งที่พิราบสื่อสารไม่ทำงาน ในเมื่อนักผจญภัยในเขตสีเหลืองมีสกิลขัดขวางการสอดแนมอยู่ค่อนข้างมากรอบๆ ตัว

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันในตอนนี้ มันก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่ในการไม่ได้รับความช่วยเหลือในสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น

มันจะดีกว่าในการใช้สกิลที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู

และในเมื่อสัตว์อสูรส่วนมากที่นี่ไม่รับรู้สีแดง พวกเขาก็สามารถส่งสัญญาณด้วยสกิลสีแดงได้อย่างปลอดภัย

ในขณะที่แต่ล่ะหน่วยย่อยมุ่งหน้าไปยังทิศทางของตนเองอย่างรวดเร็ว

คาร์ฮาลได้เอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้

“โอ้ใช่ คนที่ไม่สามารถเข้าร่วมปาร์ตี้อาหารเย็นได้จะถูกฉันฆ่าแน่ๆ พวกนายต้องมาในเมื่อฉันจะเรียกชาวนามาอย่างน้อย 100 คน”

“ฮ่า แน่นอน แล้วเจอกัน”

พวกเขาจะสามารถเล่นสนุกได้ไม่น้อยกับชาวนาทั้งร้อยคน

และชาวนาเองก็คงรู้สึกดีไม่น้อยเช่นกัน

ในเมื่อยิ่งนักล่าต้องการพวกเขามากเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะรอดจากการสังเวยครั้งต่อไปก็ยิ่งมากขึ้น

‘มันคือระบบที่พวกเราประทานพรให้กับพวกนั้น ใช่แล้ว’

ด้วยคำพูดทิ้งท้ายของคาร์ฮาล หน่วยย่อยทั้ง 14 หน่วยก็แยกย้ายไปยังส่วนต่างๆ ของพื้นที่หนึ่ง

 

 

 

‘ฮี่ฮี่ ถ้ามันมีหนึ่งร้อยคน งั้นฉันควรจะเรียกเจ้าหมาน้อยของฉันมาด้วยเหมือนกัน’

แม้ว่าจะมาอีกโลกแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกแต่เดิมก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

ซึ่งหมายความว่าแน่นอนว่ามันย่อมมีชาวนาที่หน้าตาดีและพวกที่หน้าตาไม่ดี

และคนที่อยู่ในระดับของเซบาสเตียนนี่ สมาชิกของหน่วยพื้นที่หนึ่ง ย่อมมีอำนาจสูงสุดต่อพวกชาวนา

เซบาสเตียนนี่นึกถึงไมเคิลที่ในโลกจริงเป็นนายแบบ ก่อนจะมองไปยังฮันซูที่อยู่ข้างๆ เธอแล้วส่ายศีรษะ

‘ชิ มันอาจจะดีถ้าอย่างน้อยเขาหล่อ อืม อย่างน้อยรูปร่างของเขาก็ไม่เลว’

ร่างยักษ์ที่สูงสองเมตรและไหล่กว้าง

เซบาสเตียนนี่ที่ต้องไปยังกล้ามเนื้อสมส่วนของฮันซูที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากบรอนซ์พึมพำกับตัวเอง

แต่น่าเศร้าที่เซบาสเตียนนี่ชอบผู้ชายที่เด็กกว่า

‘โถ่เอ้ย ฉันไม่ชอบเขามากขึ้นเรื่อยๆ บ้าจริง แล้วทำไมเขาต้องเอาอะไรมาเยอะแยะมากมายขนาดนั้น?’

จะยังไงก็เถอะ ในเมื่อเธอรับผิดชอบเขา เธอก็ต้องกระเตงเขาไปรอบๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เซบาสเตียนนี่เอ่ยขึ้นไปยังเด็กใหม่ข้างๆ เธออย่างกะทันหันหลังจากที่วิ่งไปสักพัก

“วันนี้นายสบายหน่อย ในเมื่อต้นโอคุนมันคือบริเวณที่ปลอดภัยที่สุดของพื้นที่หนึ่ง โอ้ว้าว เรามาถึงแล้ว”

เซบาสเตียนนี่ผิวปากขณะที่มองไปยังจุดหมายของพวกเธอที่อยู่ห่างออกไป

ต้นโอคุน

ชื่อต้นไม้ที่ถูกตั้งตามชื่อของคนที่เจอมันคนแรก โอคุน ไม่ใช่ต้นไม้จริงๆ

มันคือรูปสลักต้นไม้ยักษ์ที่ดูเหมือนกับว่าถูกเผาโดยบางอย่าง

ไม่มีอะไรอยู่ใกล้ๆ กับรูปปั้นที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่งนี้

และมันก็มีความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดอยู่เบื้องหลังมัน ดังนั้นแล้วจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปในนั้น

‘ฟิ้ว มันน่ากลัวจริงๆ ไม่ว่าฉันจะเห็นมันกี่ครั้ง’

เซบาสเตียนนี่มองไปยังความมืดมิดด้านล่างเธอขณะที่ร่างของเธอสั่นสะท้าน

พวกเธอไม่ได้เข้าใกล้ที่แห่งใดที่พวกเธอไม่รู้จัก

มันคือกฎของหมู่บ้าน

กฎนี้ถูกตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้วหลังจากที่ใครบางคนในพื้นที่หนึ่งได้ไปแหย่ <บางอย่าง> โดยไม่รู้ตัว และหมู่บ้านก็เกือบจะถูกทำลาย

หลังจากนั้น งานของพวกเธอในพื้นที่หนึ่งก็เปลี่ยนไป

จากการ <สำรวจ> เป็นการ <ตรวจตรา>

แม้ว่าพวกเธอจะตรวจตราไปด้วยความหวาดกลัวว่าจะมีบางอย่างโผล่ออกมา พวกเธอก็ไม่เคยขออะไรไปมากกว่านั้น

นี่ก็เหมือนกัน

พวกเขาตรวจตราที่แห่งนี้เผื่อว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น แต่ในเมื่อมันไม่มีมาตลอดทั้ง 19 ปีที่ผ่านมา มันก็เลยเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในด้านอันตราย

‘แน่นอนว่ามันไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรปรากฏตัวขึ้นแถวๆ นี้เลย’

กรรรร

กระทั่งก่อนที่เธอจะคิดจบ เสียงคำรามก็ปรากฏขึ้นจากป่าเบื้องหลังพวกเธอ

“โอ้ มันออกมาแล้ว”

เซบาสเตียนนี่ผิวปากขณะที่เธอมองไปยังโอเคล เสือดาวสองเขาที่อยู่ในขั้น 4

สัตว์อสูรรอบๆ หมู่บ้านถูกแบ่งออกเป็น 9 ขั้นตามตารางของหมู่บ้าน

ชาวนาจะล่าพวกที่อยู่ในขั้น 9 ถึง 6 และนักล่ามักจะรับมือกับพวกที่อยู่ในขั้น 5 ถึง 3

และในที่แห่งนี้ ที่พื้นที่หนึ่ง สัตว์อสูรขั้น 1 และ 2 ที่กระทั่งนักล่ายังยากที่จะรับมือก็ปรากฏตัวขึ้นได้

นี่คือสาเหตุให้คนที่เชี่ยวชาญและมีฝีมือมากที่สุดรับผิดชอบที่นี่

แต่ขั้น 4 เป็นอะไรที่เธอสามารถจัดการด้วยตัวเองได้ค่อนข้างง่าย

และนี่เป็นสาเหตุให้เธอค่อนข้างผ่อนคลาย

‘แต่มันจะเป็นแบบนั้นสำหรับนายหรือเปล่า เด็กใหม่?’

เซบาสเตียนนี่หัวเราะขณะที่เธอมองไปยังฮันซูที่อยู่ข้างๆ เธอ

เธอรู้ว่าเขาพอมีความสามารถอยู่บ้าง

นั่นคือสาเหตุให้เขาเอาชนะเครอนได้

แต่มนุษย์และสัตว์อสูรมันแตกต่างกัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความแข็งแกร่งเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร

มันคือประสบการณ์และความรู้

พวกเขาบอกว่าคุณจะชนะทุกครั้งที่สู้ถ้ารู้จักตัวเองและรู้จักคู่ต่อสู้

การรู้เกี่ยวกับคู่ต่อสู้มากกว่าเกี่ยวกับตัวเองคือสิ่งสำคัญ

แล้วเธอจะไม่รู้สึกหัวเสียได้อย่างไรเมื่อลูกเจี๊ยบแบบนี้เข้าร่วมหน่วยของพวกเธอ

นี่คือเวลาให้เธอระบายความโกรธ

‘อืม ฉันควรจะบอกอะไรบ้างเกี่ยวกับมันเป็นอย่างน้อย’

“เด็กใหม่ ไปจัดการมันสิ ฉันต้องเห็นระดับความสามารถของนาย โอ้ใช่ จุดอ่อนของมันอยู่ที่หน้าผากของมันระหว่างเขา”

ฟึ่บ

‘โอ้ว้าว เขาค่อนข้างเชื่อฟังเลยนะเนี่ย’

เซบาสเตียนนี่ที่มองไปยังฮันซูที่กระโดดออกไปทันทีที่เธอพูดจบพลันตื่นตระหนก

ในเมื่อเจ้าคนเสียสตินี่กำลังเล็งไปที่ที่อื่นแทนที่จะเป็นจุดอ่อนระหว่างเขาของมัน

“เฮ้!ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย! ระหว่างเขา! ฉันบอกว่าระหว่างเขา!”

ฟิ้วววว!

เซบาสเตียนนี่รีบตะโกนออกไปขณะที่มองไปยังหอกที่พุ่งไปยังเสือดาวอย่างรวดเร็ว

เสือดาวสีเขียวที่ตัวใหญ่ห้าเมตร

ถ้าไปโจมตีที่เนื้อของมัน อาวุธก็จะติดอยู่ที่ชั้นเมือกใต้ผิวของมัน

และวินาทีที่อาวุธและเมือกนั่นสัมผัสกัน

แก๊สพิษรุนแรงก็จะเกิดขึ้นจากการที่เมือกนั่นทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและจะทำให้ร่างของนักผจญภัยเป็นอัมพาตอย่างรวดเร็ว

แต่เจ้าคนเสียสตินี่กำลังพยายามทะลวงผ่านชั้นเมือกนั่น

‘ฉิบหายเอ้ย! ไอ้โง่นี่!’

ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรทุกตัวจะตายจากการโดนแทงหนึ่งครั้งหรืออะไรแบบนั้น

เซบาสเตียนนี่กัดฟันกรอดและกำลังจะก้าวออกไป

ฮันซูพึมพำอยู่ภายในขณะที่เขาเหวี่ยงหอกออกไป

‘พวกเขาคงรู้แค่ที่หน้าผาก’

หน้าผากระหว่างเขา

มันเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเจ้านี่จริงๆ

ทว่ามันมีจุดอ่อนที่ดีกว่านั้น

‘ตรงนี้คงยังไม่มีใครรู้’

ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก ฉึก

กรรรรร!

“หือ?”

เซบาสเตียนนี่ชะงักฝีเท้าของเธอเมื่อเธอเห็นว่าเสือดาวสีเขียวล้มลงหลังจากที่ถูกแทงไปที่ร่างอย่างรวดเร็ว 5 ครั้ง

‘อะไรกัน? ทำไมมันถึงล้ม?’

ขั้น 4 ไม่ได้อยู่ที่ขั้น 4 แค่ชื่อ

ถ้าขั้น 4 สามารถไปถึงยังบริเวณพื้นที่เพาะปลูกของชาวนาได้ พวกเขาก็จะถูกสังหารหมู่

มันน่ากลัวขนาดนั้น

การที่เธอสามารถฆ่ามันได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ หมายความว่าเธอสามารถใช้ประสบการณ์และความรู้ของเธอเป็นพื้นฐาน หลบการโจมตีของมัน และฆ่ามันได้อย่างช้าๆ ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหมอนั่นทำ เขาทำให้มันไร้ทางต่อสู้ในเวลาเพียงแค่ชั่วขณะ

ฉัวะ!

ฮันซูตัดศีรษะของเสือดาวที่ล้มลงบนพื้นพร้อมกับที่เขามองไปยังวัตถุดิบเบื้องหน้าเขาอย่างช้าๆ

‘รูนดรอปในจำนวนที่ต่างกัน ดี อาร์ติแฟคค่อนข้างไร้ประโยชน์… โอ้ ฉันใช้อันนี้เป็นวัตถุดิบได้’

แม้ว่าเขาจะซื้อไว้เยอะก่อนที่จะมาที่นี่ เขาก็ยังคงต้องการของอีกค่อนข้างมาก

ฮันซูเก็บของจำนวนหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเซบาสเตียนนี่

“ในเมื่อฉันจัดการมันได้ ฉันก็เอาของไปแล้วกัน โอ้ ส่วนตรงนี้สำหรับการที่บอกฉันถึงจุดอ่อนของมัน”

เซบาสเตียนนี่จ้องฮันซูที่กำลังยื่นรูนส่วนเล็กๆ ให้ก่อนจะขมวดคิ้วและพูดออกไป

“… ไสหัวไป นายไม่แม้แต่จะแทงในส่วนที่ฉันบอกด้วยซ้ำ แล้วนายทำบ้าอะไรลงไปกันแน่?”

ฮันซูเอ่ยตอบอย่างง่ายๆ

“ถึงฉันจะบอกเธอ เธอก็ทำไม่ได้หรอก”

แกนกลางของเส้นประสาทตอบสนองที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องใต้ผิวนั้นต้องถูกแทงพร้อมกันทั้งห้าจุด

ถ้าพวกเขาทดลองมันสุ่มๆ งั้นมันก็จะยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น

มันจะดีกว่าในการเล็งไปที่หน้าผาก

เซบาสเตียนนี่ขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

‘ไอ้เวรนี่…’

ฮันซูเดินผ่านเซบาสเตียนนี่ ผ่านต้นโอคุน และมุ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง

ไปยังความมืดมิด

‘การที่ถูกส่งมาที่ต้นโอคุน เยี่ยม’

คนอื่นๆ ไม่รู้ แต่ฮันซูรู้

เกี่ยวกับตัวตนของความมืดมิดเบื้องหลังมัน

ส่วนมืดของประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่พวกมันต้องการจะลบและถูกทำลายโดยพวกมัน

มันมีวัตถุดิบอย่างหนึ่งอยู่ด้านในนั้น

วัตถุดิบชิ้นสำคัญที่เขาจะใช้ในการแทงไปยังกรามของเจ้าพวกนั้น

เซบาสเตียนนี่ตื่นตระหนกเมื่อเธอเห็นฮันซูเดินไปยังความมืดมิด

‘ไอ้เวรเสียสตินี่!’

การไม่เดินสุ่มๆ ไปในพื้นที่หนึ่ง รวมทั้งในความมืดมิด คือกฎของหมู่บ้าน

หากมันถูกละเมิด งั้นมันก็คงไม่จบแค่การต่อว่า

และการสำรวจพื้นที่หนึ่งตามอำเภอใจก็ถือเป็นเรื่องต้องห้ามระดับต้นๆ

ฟึ่บบบ

“ไอ้เวรนี่! หยุด! แกจะทำผิดกฎรึไง!”

สกิลสามสกิลปรากฎขึ้นจากร่างของเซบาสเตียนนี่และมัดร่างของฮันซูเอาไว้

ฮันซูหัวเราะเมื่อเขารับรู้ได้ถึงสกิลทั้งสามที่กำลังโอบล้อมร่างของเขาอยู่

‘กฎงั้นเหรอ’

กฎที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้หลังจากยอมรับความพ่ายแพ้ต่อเผ่าพันธุ์ชนชั้นสูง

ถ้าพวกเขาทำตามกฎ งั้นพวกเขาก็จะเป็นได้แค่ไอ้พวกขี้แพ้

‘ตอนนี้พวกนายต้องเปลี่ยนแล้ว’

กิ้ง

แหวนเนอร์มาฮาบนมือขวาของฮันซูส่องประกาย

ในเวลาเดียวกัน สกิลผูกมัดทั้งสามบนร่างของเขาก็อ่อนแรงลง

ตูมมม!

สกิลเสริมพลังมังกรปีศาจและหอกสายฟ้าของฮันซูกวาดไปรอบร่างของเขาราวกับระเบิด

สกิลผูกมัดระเบิดออกและฮันซูก็เป็นอิสระในทันที

“หะ?”

“อยู่ตรงนั้นแล้วส่งข้อความไป อย่าตามมาถ้าพวกนายไม่อยากเสียใจ”

ฮันซูเอ่ยทิ้งท้ายไว้กับเซบาสเตียนนี่ที่กำลังหัวเสียและกระโดดลงไป

“ไอ้เวรเสียสตินี่!”

เซบาสเตียนนี่ที่เหม่อมองไปยังความมืดด้วยสีหน้าว่างโล่งที่ไม่อาจรับรู้ได้ด้วยเหตุผลแปลกประหลาดบางอย่างพลันแสดงสีหน้างุนงงออกมา

‘ส่งข้อความ? ไปให้ใคร?’

 

 

 

 

“ไอ้เวรเสียสตินั่น… สร้างปัญหาจริงๆ ดูเขาสิ ฉันบอกนายแล้วว่าเขาจะสร้างปัญหา”

“…”

ทุกคนในเขตสีเหลืองเรียนรู้สกิลตรวจจับ

แต่เจ้าคนแปลกประหลาดนั่นยังไม่ได้เรียน

ขณะที่เครอนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาขณะที่มองฮันซูด้วยสกิลตรวจจับของเขา คาร์ฮาลก็ผงกศีรษะด้วยสีหน้าหนังอึ้งเช่นกัน

‘การละเมิดกฎของหมู่บ้าน ไอ้เวรอวดรู้นี่’

กฎถูกสร้างขึ้นโดยคนที่สร้างเมือง คลีเมนไทน์ และมันอยู่เหนือทุกคน ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้

แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน

และโดยเฉพาะเมื่อมันเป็นเด็กใหม่จองหองคนหนึ่งที่จะกลายเป็นเครื่องสังเวยในไม่ช้า

คาร์ฮาลคิดถึงฮันซูที่เพิ่งจะกระโดดลงไปในความมืดก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ฉันเดาว่าพวกเราคงต้องลงโทษเขา เขาควรจะแค่หายไปหลังจากที่อยู่ที่นี่เงียบๆ ไปสักอาทิตย์…”

ไม่ช้า แสงสีแดงจากสกิลของคาร์ฮาลก็ได้ครอบคลุมท้องฟ้า

คาร์ฮาลและเครอนที่รวบรวมทั้งหน่วยไว้รีบออกเดินทาง

ไปยังความมืดมิดที่ฮันซูกระโดดลงไป

 

 


TL: คำเตือนเขามีเอาไว้ให้เชื่อไง