บทที่ 13

 

ค่ายกลกระบี่เทพเต๋า ไม่รู้ว่าเป็นทักษะฝึกระดับไหน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา

 

“แต่… ข้าไม่ใช้กระบี่เนี่ยสิ”

 

ฉินห่าวคิดอย่างขมขื่น ฝังศพชายชรา และลองอ่านมันดูระหว่างทาง

 

[ติ๊ง]

 

[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ คุณได้รับส่วนหนึ่งของวิชาค่ายกลกระบี่เทพเต๋า โปรดตามหาส่วนที่เหลือให้ครบ เพื่อบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่]

 

ฉินห่าว “…”

 

ส่วนหนึ่ง?

 

“ท่านปู่ ท่านไม่บอกให้ละเอียด เหตุใดไม่พูดให้ชัดก่อนหน้านี้”

 

ฉินห่าวถอนหายใจ แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาพบว่ามีกระบี่เล่มเล็กกำลังหมุนอยู่ในตันเถียน 

 

ว่าแล้วก็ลองเรีกมันออกมา

 

เห็นเพียงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นข้างหลังเขา และทุกเล่มเหมือนมีตัวตนจริงๆ แผ่แรงกดดันไปรอบทิศ

 

เมื่อใช้งานมัน ฉินห่าวก็เข้าใจหลักการทันที ว่ากระบี่เล่มเล็กนี้เชื่อมต่อกับพลังงานฟ้าดิน แล้วแปลงพลังงานนั้นจำแลงเป็นกระบี่นับพันหมื่น ดูมีพลังและทรงอานุภาพมาก 

 

“แต่จะว่าก็ว่าเถอะ นี่มันเปลืองพลังปราณชะมัด”

 

ใบหน้าของฉินห่าวซีดเล็กน้อย การเรียกใช้มันกินพลังปราณเกือบหมดตัว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เขาฆ่าตัวตายอีกรอบเพื่อฟื้นพลัง และเดินทางต่อโดยไม่ล่าช้า

 

หลังจากเดินมานานกว่า 2 วัน ฉินห่าวรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย เพราะมันไกลเหลือเกิน 

 

“หากมีรถสักคันไว้ขับก็คงดี”

 

บรึ้ม!

 

ทันใดนั้น คลื่นพลังปราณที่รุนแรงพุ่งมาจากข้างหน้าพร้อมเสียงคำรามของชายชรา

 

“เจ้าทำลายนิกายข้าเพียงเพราะเห็นแก่ค่ายกลกระบี่เทพเต๋า เจ้ามันปีศาจ!”

 

ฉินห่าวหยุดฝีเท้าชั่วคราว เงี่ยหูตั้งใจฟัง ค่อยๆมุ่งหน้าไปยังทิศทางของการต่อสู้อย่างระมัดระวัง และพบว่าที่กำลังปะทะกันคือชายชราในเสื้อคลุมสีขาวกับชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียว

 

“หือ? ชุดนั่นมันสาวกชั้นหนึ่งของนิกายข้านี่หว่า?” ฉินห่าวมองชายหนุ่ม นัยน์ตาเบิกกว้าง เพราะสาวกชั้นหนึ่งในนิกายมีเพียงหกคนเท่านั้น และแต่ละคนล้วนมีฐานบำเพ็ญเพียรสูง อ่อนแอสุดอยู่ในช่วงปลายขอบเขตขจัดสิ่งโสมม เก่งกาจสุดอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำ หากบอกว่ากุมอำนาจไว้ในมือไม่ต่างจากผู้อาวุโสก็ไม่เกินจริง

 

อย่างไรก็ตาม …. ศิษย์พี่ผู้นี้ดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่

 

“ฮี่ ฮี่ ก็แล้วถ้าข้าต้องการขโมยทักษะฝึกของพวกเจ้า แล้วเจ้าจะทำไม?”
ชายหนุ่มเย้ยหยัน วาดกระบี่โจมตีอย่างเฉียบคม

 

ฟัฟฟฟ

 

ชายชราถูกฟันล้มลงกับพื้น

 

“ทักษะฝึกที่ว่าอยู่ไหน? จงนำมันออกมา!” ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง

 

“ต่อให้ข้าตาย … ก็ไม่มีวัน …”

 

ฟัฟฟฟ

 

วินาทีถัดมา ร่างชายชราถูกแยกเป็นสองส่วน 

 

ชายหนุ่มค้นถุงมิติบนตัวชายชรา แต่หลังจากเปิดมัน ใบหน้าเขาก็กลายเป็นมืดมน แรงกดดันอันน่าสะพรึงปะทุออกมา

 

“บัดซบ!”

 

ชายหนุ่มก่นด่าด้วยความโกรธ พุ่งเป็นลำแสงหายลับไปบนท้องฟ้า

 

“เฮ้อ ชายชราผู้นี้น่าอนาถนัก เขาคงมาจากนิกายเดียวกับชายชราคนนั้น ช่างน่าสงสาร”

 

ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินห่าวเดินออกมา หรี่ตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “เจ้าหมอนั่นน่าจะเป็นหลิวเหอกระมัง? พลังรบร้ายกาจจริงๆ”

 

อย่างไรก็ตาม ฉินห่าวไม่ได้อยู่นาน แม้เขาจะไม่กลัวความตาย แต่มันจะเป็นปัญหายุ่งยากหากเจ้าหมอนั่นกลับมา  

 

“สารเลวจริงๆ นิกายของพวกเราเป็นนิกายที่รักใคร่และเป็นมิตรกับผู้คนแท้ๆ แต่ลับหลังเจ้ากลับมาทำเช่นนี้”

 

ฉินห่าวเดินไปพลางถอนหายใจไปพลาง ฆ่าสัตว์ร้ายระหว่างทาง เพิ่มค่าความเกลียดชัง

 

ณ จุดนี้ ค่าความเกลียดชังสะสมของเขาเกิน 3,000 แต้มแล้ว แต่คราวนี้เขาไม่มีแผนจะสุ่มจับรางวัล เลือกใช้แต้มทั้งหมดยกระดับขอบเขตโดยตรง

 

ก้าวสู่ขั้น 7 ขอบเขตเปิดภูมิปัญญา!

 

“พละกำลังตอนนี้ รู้สึกเหมือนสามารถสู้กับคนในขอบเขตขจัดสิ่งโสมมได้เลย” ฉินห่าวดื่มด่ำไปกับพลังในร่างกายตัวเอง แล้วหัวเราะออกมา

 

จากนั้น เขาเดินทางไกลต่ออีกหลายวัน และในที่สุดก็มาถึงทางเข้าสถานที่ในภารกิจพื้นที่เสี่ยง 

 

พื้นที่เสี่ยงแห่งนี้เป็นภูเขาที่กว้างใหญ่ทอดยาวหลายพันลี้  และทางเข้าเป็นถ้ำ ไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร

 

ฉินห่าวเข้าไปในถ้ำโดยไม่ลังเล สถานที่นี้ยุ่งเหยิง ในหูเต็มไปด้วยเสียงเห่าหอนของสัตว์ป่า และบางครั้งยังได้ยินเสียงการต่อสู้ของมนุษย์

 

“ยอดเยี่ยมมาก ในสถานที่แบบนี้ หากอยู่ยาวๆจะยกระดับได้อีกซักขอบเขตใหญ่ก็ไม่แปลกเลย!” ฉินห่าวตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

 

นี่ช่วยไม่ได้ ที่ฉินห่าวอยากรีบเพิ่มความแข็งแกร่ง เพราะนิกายเขายังอ่อนแอ มีแรงกดดันและศัตรูมากเกินไป 

 

เขาไม่อยากเจอสถานการณ์แบบเดียวกับตอนผู้อาวุโสหยินบุกเข้านิกายอย่างไม่เกรงกลัวอีกแล้ว

 

ฉินห่าวรีบเข้าไปข้างใน สัตว์ดุร้ายที่นี่ค่อนข้างแตกต่างจากข้างนอก แม้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่กลับแข็งแกร่งกว่าอย่างชัดเจน รูปลักษณ์ก็แตกต่าง ดูเหมือนว่าสัตว์ที่อยู่ในที่นี้จะเกิดการกลายพันธุ์