บทที่ 108:   อคารอน (3)

 

 

 

พลั่ก

ฮันซูผลักร่างของโซเฟียออกไปเมื่อเขาเห็นกำปั้นที่มุ่งตรงไปยังเธอ จากนั้นจึงเข้าไปอยู่แทนที่อีกฝ่าย

ฉึก

ฮันซูยกหอกของเขาและปักมันลงที่พื้นเบื้องหน้าเขา จากนั้นจึงตั้งท่าป้องกันพร้อมกับถ่ายมานามังกรปีศาจเข้าไปในทหารพันเกราะ

หมัดที่ระดับบารองที่มีร่างสีบรอนซ์และสูงถึงหกเมตรกระแทกเข้าที่ปลายหอก

ตูม!

หอกอัสนีเอียงจนเกือบจะหักจากเพียงแค่การโจมตีครั้งเดียว

พลังมานาที่โอบล้อมทหารพันเกราะอยู่สลายหายไปและร่างของฮันซูถูกผลักถอยหลัง

ผลลัพธ์จากหมัดเพียงหมัดเดียว

ฮันซูมุ่นคิ้วกับพลังโจมตีมหาศาลขณะที่เขาตะโกนออกมา

“นักบวชหญิง มงกุฎแห่งหนามของเอลคาเดียน!”

ระดับบารองชะงักไปขณะที่เขารั้งหมัดของเขากลับและมองไปยังฮันซูด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป

ทว่าไม่ใช่เพียงแค่ระดับบารองที่ชะงัก แม่ชีที่หันหลังกลับมา โอเทออนเองก็ชะงักและมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

‘… เขารู้เกี่ยวกับมงกุฎแห่งหนาม?’

ทุกคนรู้จักเอลคาเดียน แม่ชีที่ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์และออกเดินทางไป

เธอคือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะในมหาสงครามครั้งที่สอง ผู้ที่ควบรวมฝ่ายเผ่าและนักบวชเข้าด้วยกัน รวมทั้งช่วยเหลือเมคิโดในการสร้างการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายขึ้น

ตัวเต็งอันดับหนึ่งสำหรับว่าที่หัวหน้านักบวชในยามนั้น ไม่สิ เธอคือคนที่มีอำนาจมากกว่าหัวหน้านักบวชในยามนั้น คาร์บาน่า

เอลคาเดียน

มันไม่ใช่เพียงแค่ชื่อเสียงที่นางมี

พลังศักดิ์สิทธิ์ของนางเหนือกว่าหัวหน้านักบวช คาร์บาน่ามานานแล้ว

จนถึงจุดที่นางได้จากไปในฐานะของเมล็ดพันธุ์เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอและผู้ติดตามของคาร์บาน่าต้องทะเลาะกัน

‘หากเธอยังอยู่… มันอาจจะต่างออกไป’

และสมบัติที่นางได้ถ่ายเทพลังที่หลงเหลือและความรู้ทั้งหมดลงไปได้ถูกสร้างขึ้นก่อนที่นางจะจากไป

<มงกุฎแห่งหนาม>

หากพวกเขามีมัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เลวร้ายที่ไล่ต้อนอคารอนจนแทบจะสิ้นเผ่าพันธุ์ได้

เธอจะไม่รู้สึกตื่นเต้นได้อย่างไร

ทว่าโอเทออนส่ายศีรษะ

มนุษย์ไม่อาจเชื่อได้

เหตุผลที่พวกเขาต้องมาหลบซ่อนลึกถึงที่นี่ และเหตุผลที่ทำไมท่อถึงได้เข้าสู่พื้นที่สีดำล้วนเป็นเพราะมนุษย์

คนพวกนั้นจะสัญญากับพวกเขา แล้วจากนั้นก็จะแทงหลังพวกเขาในภายหลัง

ยิ่งอันตรายเท่าใดก็ยิ่งหอมหวานเท่านั้น และข้อเสนอนั้นก็หอมหวานยิ่งนัก

โอเทออนกัดฟันกรอดจากนั้นจึงตะโกนไปยังเหล่าระดับบารอง

“เขาต้องได้ยินมันมาจากสักแห่ง… แค่ฆ่าเขาซะ!”

ทว่าระดับบารองไม่ขยับแม้แต่น้อยกับคำพูดของเธอ

เธอหงุดหงิดกับการกระทำของระดับบารองขณะที่เธอมองไปยังนักรบที่ป้องกันวิหารก่อนจะตวาด

“ทำไมถึงไม่ลงมือ? เจ้าคงไม่ได้เชื่อคำพูดของเขาใช่ไหม?

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เสาต้นที่หนึ่ง หนึ่งในระดับบารองก็ส่ายศีรษะขณะที่เอ่ยขึ้น

“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่… งานของพวกเราคือการป้องกันท่าน”

นักบวชหญิงสำคัญกับเผ่าพันธุ์ของพวกเขามากเกินไป

การป้องกันนักบวชหญิงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด

โอเทออนแสดงสีหน้าอึ้งตะลึงออกมาเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

“อะไรนะ?”

แล้วมันสำคัญอะไรในสถานการณ์เช่นนี้?

เสาที่หนึ่งเพียงแค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะบดขยี้คนพวกนั้นทั้งหมดแล้ว

แล้วเธอจะไปตกอยู่ในอันตรายได้ยังไง?

เสาที่หนึ่งมองไปยังสีหน้าบนใบหน้าของโอเทออนขณะที่เขาชี้ไปยังผู้ที่เขาโจมตีไปก่อนหน้าด้วยสายตาของเขา

และโอเทออนก็รู้สึกถึงสันหลังที่เย็นวาบเมื่อเธอมองไปยังทางนั้น

ชายที่ถือหอกชี้มายังทิศของพวกเขามีดวงตาที่เยือกเย็นอย่างมาก

บางอย่างควบรวมกันที่อยู่ที่ปลายหอกสีทองที่ไม่อาจระบุได้

และปลายหอกนั้นได้ชี้ตรงมายังเธอ

มีเพียงหนึ่งสิ่งที่ปรากฏขึ้นในสมองของเธอ

มาร์กอช ดู ทิราดัส

นักล่าชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหารที่กินมาร์กอชและมีพิษร้ายแรง

น่าประหลาดที่กลิ่นอายและความรู้สึกของคมเขี้ยวอันแหลมคมนั้นได้แพร่กระจายออกมาจากปลายหอกเล็กๆ ในมือของมนุษย์

เสาที่หนึ่งยักไหล่ขณะที่เขามองไปยังโอเทออน

“ท่านเห็นแล้วใช่ไหม? ถึงการรับหอกนั่นจะไม่ยาก… แต่วินาทีที่ไอ้สิ่งที่อยู่บนปลายหอกนั่นระเบิดออกมา คนครึ่งหนึ่งที่นี่ที่อ่อนแอจะตายไปพร้อมกับท่าน”

“… บ้าเอ้ย”

ทายาทของพวกเขาสำคัญเกินไปในสถานการณ์ที่พวกเขามีจำนวนน้อยมากอยู่แล้ว

แครอทอันหอมหวานที่มาพร้อมกับแส้อันโหดเหี้ยม

โอเทออนตระหนักได้ว่าเธอติดกับดักแล้ว

“มันอาจจะต่างออกไปถ้าเจ้าไม่ได้เข้ามาที่นี่ตั้งแต่แรก แต่… ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้วก็มาฟังเรื่องของเจ้าหน่อยเถอะ จะอย่างไรเจ้าก็ช่วยไอเลนเอาไว้”

“…”

มันดูเหมือนว่าเสาที่หนึ่งจะค่อนข้างชอบคนคนนี้

โอเทออนมองไปยังกลุ่มคนเบื้องหน้าเธอด้วยใบหน้าขยะแขยง

 

 

“ก่อนอื่น ข้าขอขอบคุณที่พวกเจ้าช่วยไอเลนเอาไว้”

“เวรเอ้ย แค่คำขอบคุณคำเดียวนี่ได้ยินยากฉิบหาย”

ทาเรสบ่นอย่างเงียบๆ อยู่ด้านหนึ่ง

มันสมเหตุสมผล

เขาจะรู้สึกดีได้อย่างไรในเมื่อเขาเกือบจะถูกทุบเป็นปลาป่นตอนที่พวกเขาพาคนที่พวกเขาช่วยมาส่ง?

โอเทออนตัดสินใจจะเมินทาเรสที่ยังคงพึมพำอยู่หลังจากที่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นจึงเริ่มเพ่งความสนใจไปยังชายด้านหน้า

“เจ้าได้ยินเกี่ยวกับมงกุฎแห่งหนามมาจากที่ไหน?”

ฮันซูหัวเราะขณะที่เอ่ยขึ้น

“อืม ตอนนี้เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญแล้ว เราควรจะแก้ไขปัญหาของกรากอซก่อน”

“มันเป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างพวกเจ้าต้องกังวล เราก็แค่ต้องย้ายออกไป”

และการเตรียมการของพวกเขาก็กำลังเป็นไปด้วยดี

ฮันซูส่ายศีรษะ

‘ไม่มีทาง’

การอพยพจะมีโอกาสสำเร็จสูงก็ต่อเมื่อพวกเขาเตรียมการในระดับการเตือนสีแดง

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่กรากอซจะพลิกตัวตอนไหนก็ได้เมื่อมันอยู่ในระดับสีดำ

แต่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มอพยพในสถานการณ์แบบนี้

‘อืม บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีทางอื่นแล้ว’

พวกเขาไม่รู้ถึงเหตุผล และในเมื่อมันยากที่จะตรวจสอบด้านนอกวิหารเนื่องจากมนุษย์ ทางออกจึงง่ายดาย

ฮันซูเอ่ยถึงสถานการณ์ของเขาต่ออีกฝ่ายอย่างตรงๆ

“ฉันพูดตามความจริง ฉันได้รับผลึกความทรงจำของเอลคาเดียนจากเขตสีแดงด้านล่าง”

แน่นอนว่าเขาได้รับมันมาจากในอบิส แต่มันไม่มีความจำเป็นให้ต้องเปิดเผยมัน

‘ในระดับนี้… การร่วงหล่นสู่อบิสคงจะไม่ได้รับผลมากนัก’

มันเป็นเรื่องดีที่อย่างน้อยก็พูดถึงแหล่งที่มาของข้อมูลหากพวกเขาต้องการจะคุยกันดีๆ

โอเทออนเผยสีหน้าจนใจออกมาเมื่อเธอได้ยินข้อมูลยางส่วนที่ออกมาจากปากของฮันซู และทำได้เพียงแค่ยอมรับว่ามันเป็นความจริง

เรื่องพวกนี้คือสิ่งที่จะไม่มีทางที่ใครจะรู้เว้นเสียแต่จะเป็นตัวเอลคาเดียนเอง

‘ทำไมมรดกของเมล็ดพันธุ์ที่หนึ่งต้องไปอยู่ที่เขาด้วย?’

โอเทออนมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทว่าก็ยังคงเอ่ยขึ้น

“หากเจ้าส่งผลึกความทรงจำนั่นมา งั้นข้าก็จะคิดถึงการเป็นพันธมิตรกันของเรา”

“ขอโทษที่ต้องบอกแบบนี้ แต่ฉันจำมันมาทั้งหมด เธอก็เห็น”

“…”

โอเทออนถอนหายใจ

แม้ว่าเธอจะคาดเอาไว้แล้ว มันก็ยังคงน่าเสียดาย

จากนั้นฮันซูจึงมองไปยังโอเทออนขณะที่เขาเอ่ยอธิบายแผนการของเขาต่อ

เพื่อที่จะรักษากรากอซตัวอื่นๆ

และกระทั่งแผนการหลังจากนั้น”

‘… โอ เอลคาเดียน’

โอเทออนแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาหลังจากที่คารวะให้กับความมุ่งมั่นของเอลคาเดียนที่ได้ค้นหาทางที่จะช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของเธอแม้ว่าจะตายไปแล้วขณะที่เธอเอ่ยขึ้นกับฮันซู

“ถ้าเราทำตามที่เจ้าบอก งั้นมันก็ไม่มีอะไรเลวร้ายสำหรับเรา จริงๆ แล้วมันถือว่าดีด้วยซ้ำ แต่มันก็ยังมีปัญหาอย่างหนึ่ง”

“อะไรล่ะ?”

“ความน่าเชื่อถือ”

เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดความจริงมากแค่ไหน และโกหกมากแค่ไหน

สิ่งที่เขานำมาหอมหวานเกินกว่าสิ่งใด

ซึ่งหมายความว่าพวกเขายิ่งต้องระวังตัว

ในเมื่อหากสิ่งหอมหวานนั้นคือพิษร้ายและพวกเขากลืนมันลงไป พวกเขาก็จะต้องทรมานกับผลที่ตามมา

ฮันซูยักไหล่

“อยากได้อะไรล่ะ?”

โอเทออนเอ่ยขึ้นราวกับว่าเธอกำลังเฝ้ารอวินาทีนี้อยู่

“ปัญหานี้น่าจะเกิดขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์อีก ในเมื่อมันย่อมมีช่องว่างอยู่บ้างจากการคำนวณ ดังนั้นแล้วแก้ไขปัญหานี้และจัดการสัญญาณเตือนสีดำ จากนั้นเราจะช่วยเจ้า เราจะไม่เข้าไปยุ่งกับสถานการณ์ในตอนนี้”

ปัญหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ต้องถูกจัดการโดยมนุษย์

มีเพียงแค่ตอนนั้นที่พวกเขาจึงจะมีสิทธิในการสร้างพันธมิตรขึ้น

อคารอนไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมและหลั่งเลือดเพราะปัญหาที่มนุษย์สร้างขึ้น

‘และ… เฝ้าดูหมอนี่ในระหว่างนั้น’

คำพูดนั้นไร้น้ำหนัก สิ่งเดียวที่สามารถยืนยันมนุษย์ได้คือการกระทำของพวกเขา

พวกเขาจะรู้บางอย่างเมื่อเห็นอีกฝ่ายรับมือกับเรื่องนี้

ฮันซูผงกศีรษะ

‘ฉันควรจะทำเท่านี้เป็นอย่างน้อย’

ความจริงแล้วมันค่อนข้างจะเป็นปัญหาสำหรับเขาเช่นกันหากกรากอซตัดสินใจจะพลิกตัว

ในเมื่อเขาต้องไปยังกรากอซเสือขาว <ลาซาร์> เพื่อที่จะพบกับหัวหน้านักบวช

ฮันซูคิดถึงซังจินไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยขึ้น

“งั้นขอรับบางอย่างไปก่อนที่พวกเราจะเริ่มแล้วกัน”

โอเทออนครุ่นคิดไปชั่วครู่ขณะที่มองไปยังฮันซูก่อนจะผงกศีรษะ

“ได้ เจ้าและอีกสองคนจะได้รับการผ่าตัดดัดแปลงร่างกาย ผู้หญิงข้างหลังเจ้า คุณเตกิลอน พวกเจ้าเองก็ควรจะได้รับมัน ถึงแม้ว่ามันจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยหากพวกเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์เรา… แต่ในเมื่อร่างกายของพวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างออกไป มันคงจะใช้เวลาราวๆ 2 วัน พวกเจ้าไม่อาจออกมาในระหว่างการดัดแปลงได้”

กลุ่มชายสามหญิงสาม รวมทั้งทาเรสขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น

“แล้วพวกเราล่ะ?”

เคกิลอนเอ่ยขึ้นแทนไอเลน

“มันไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะได้รับ มันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อพวกเจ้ามีร่างกายที่สามารถรองรับมันได้ หากเจ้าได้รับการดัดแปลงในระดับของพวกเจ้ายามนี้ ร่างกายของพวกเจ้าก็จะระเบิด”

“…”

สีหน้าของทาเรสและคนอื่นๆ พลันเต็มไปด้วยความไม่ยอมรับ

มันไม่ได้ดูเหมือนคำโกหกจากสีหน้าของไอเลน

ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกหกเพียงเพื่อหลอกพวกเขาไม่กี่คน

พวกเขาแค่ต้องบอกว่าจะไม่ทำหากพวกเขาไม่ต้องการ

ในเมื่อพวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรพวกนั้นได้อยู่แล้ว

ทาเรสแสดงสีหน้าไม่ยอมรับออกมาขณะที่ลากร่างของตนเองไปยังสถานที่ที่พวกเขาจะอาศัยอยู่ตามการนำทางของไอเลน

 

 

กลุ่มชายสามหญิงสามมองหน้ากันในถ้ำขณะที่กระซิบกันอย่างเงียบๆ

“เวรเอ้ย ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ได้?”

ทาคุยะ หนึ่งในผู้ชายสองคนนอกจากทาเรสพึมพำด้วยสีหน้าหดหู่

สำหรับการที่พวกเขาทำได้เพียงแค่มองหลังจากที่มาที่นี่อย่างยากลำบาก

แน่นอนว่าวิหารไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็ได้จะสามารถมาเห็น ทว่าความคาดหวังของพวกเขาใหญ่โตเกินไปสำหรับมัน

‘… มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง?’

ทาเรสถอนหายใจ

การช่วยเหลือไอเลนในตอนแรกนั้นเป็นความบริสุทธิ์ใจจริงๆ

เขาไม่มีความรู้สึกโลภแต่อย่างใด

แต่ความคิดถึงรางวัลได้เริ่มปรากฏขึ้นหลังจากที่การช่วยเหลือไอเลนยากลำบากขึ้น

<ไม่ใช่ว่าเราควรจะได้รับบางอย่างเหมือนกันเหรอในเมื่อเราลำบากมามากขนาดนี้?>

จากนั้นรางวัลจึงกลายเป็นเป้าหมาย

พวกเขาไม่ได้อยู่ข้างไอเลนเพื่อที่จะช่วยเหลือเธอ แต่เป็นเพราะว่าปริมาณความช่วยเหลือที่พวกเขามอบให้อีกฝ่ายนั้นน่าเสียดายเกินกว่าจะปล่อยทิ้งไป

เหตุผลที่พวกเขาเกาะติดอยู่กับอีกฝ่ายแม้ว่าไอเลนจะบอกว่ามันอันตรายและเธอจะไปคนเดียวนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้

ในขณะที่พวกเขาจมลงสู่ความเงียบงัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงมุม มิเรียน กัดฟันกรอดก่อนจะตะโกนออกมา

“งั้นเราก็จบแค่นี้เหรอ? โดยที่จะไม่ได้รับอะไรสักอย่างเนี่ยนะ?”

“…”

“ทาเรส ฉันบอกนายมาตลอด นายใจดีเกินไป มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราจะตายตอนไหนก็ได้ถ้าเรายังทำแบบนี้ต่อไป!”

การที่พวกเขาใจดีได้ทำให้พวกเขาทั้งหกคนมารวมตัวกัน

แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการที่พวกเขาทั้งหกจะตายตอนไหนก็ได้หากพวกเขาจะยังคงยอมใช้แรงงานฟรีอยู่แบบนี้

ทาเรสถอนหายใจกับคำพูดของมิเรียนก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เธออยากจะทำอะไร?”

มิเรียนครุ่นคิดไปชั่วครู่ก่อนจะตัดกางเกงของเธอจนเผยให้เห็นช่วงต้นขา

จากนั้นจึงขุดเนื้อองเธออกมาเล็กน้อยและดึงบางอย่างที่ถูกรัดเอาไว้ในแผ่นหนังออกมา

ทาเรสผงะไปหลังจากที่ได้เห็นสิ่งนั้น

“นั่น… เราปฏิเสธมันไปก่อนหน้านี้นี่”

ข้อเสนอลับๆ ที่พวกเขาได้รับหลังจากอยู่รอบๆ ไอเลนไปพักหนึ่ง

<พวกนายทำได้ดี เข้าใกล้เธอแบบนั้น… หาตำแหน่งของวิหารและบอกพวกเรา>

ทาเรสปฏิเสธอีกฝ่ายไปในตอนนั้น

เขาไม่รู้เป้าหมายของคนพวกนั้น แต่ทำไมพวกเขาต้องทำให้มันลึกลับขนาดนั้นถ้ามันคือสิ่งที่สามารถบอกคนทั้งโลกได้

เขาคิดที่จะปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนว่ามิเรียนจะลอบไปพบกับคนพวกนั้น

มิเรียนกัดฟันกรอดจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นกับทาเรส

“ทาเรส ตัดสินใจ ฉันเข้าใจว่านายต้องการที่จะใจดีกับทุกคน แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้ เราต้องคว้าเอาข้อเสนอนี้ไว้”

ทำไมโอกาสใหญ่โตแบบนี้จะมาถึงพวกเขาที่เป็นแค่นักผจญภัยปีห้าธรรมดาๆ?

พวกเขาจะได้รับรางวัลใหญ่จริงๆ หากพวกเขารับข้อเสนอในตอนนี้

เพียงพอที่จะออกจากโลกใบนี้ไปในเวลาไม่นาน

“เลือก พวกเรา? หรือว่าไอเลน?”

ทาเรสแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาขณะที่มองไปยังถุงหนังที่ส่องประกายสีแดงออกมา

 

 

กิ้ง

ชายคนหนึ่งหัวเราะเสียงเย็นขณะที่เขามองไปยังอัญมณีที่พลันส่องประกายสีแดง

“ฉันชนะใช่ไหม? ฉันบอกนายแล้วว่าพวกมันจะติดต่อฉัน”

ผู้หญิงที่นั่งข้างชายคนนั้นขมวดคิ้ว

“เวรเอ้ย เจ้าทาเรสนั่น ฉันคิดว่าเขาเป็นคนดี แต่เขาก็แค่นี้เอง”

“มันมีขีดจำกัดของการเป็นคนดีอยู่ เธอไม่สามารถปฏิเสธความคิดเห็นของคนรอบๆ ได้หรอก ไปเถอะ”

ชายที่ชนะรับบางอย่างจากอีกฝ่ายด้วยความยินดีขณะที่มองไปยังทิศทางที่อัญมณีชี้แล้วจึงกระแทกเท้าไปยังพื้นเบื้องล่างอย่างมีความสุข

“รีบไปกันเถอะ เราต้องพากำลังของพวกเราทั้งหมดไป ในเมื่อพวกเขาคงไม่ใช่พวกที่หัวอ่อนนัก”

แม้ว่ามันจะมีความกังวลอยู่ในประโยคนั้น ทว่าน้ำเสียงของเขากลับไร้ซึ่งความไม่สบายใจ

ฉัวะ!

พรวด

ชายที่ฉีกคออันใหญ่โตของมาร์กอชได้ฝ่าเท้าของเขาเป็นสองซีกเริ่มที่จะส่งพิราบสื่อสารไปยังกิลด์ของเขา

 

 


TL: ไม่รู้จะพูดอะไรดี//กระพริบตาปริบๆ