บทที่ 106: อคารอน (1)

 

 

 

‘…อนาคตเปลี่ยนไป’

สีหน้าของฮันซูเลวร้ายลง

เหตุการณ์ใหญ่โตไม่กี่เหตุการณ์ในอีกโลกที่ทำให้มนุษย์นับร้อยล้านคนต้องตายไป

หนึ่งในนั้น

การอาบลาวาของกรากอซที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า

แม้ว่ากรากอซจะทำเพียงแค่พลิกตัวหนึ่งครั้ง ผลที่เกิดขึ้นก็น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดโดยมนุษย์กว่าสามร้อยล้านคนที่ต้องตายโดยยังไม่ได้นับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

ลอร์ดวิปลาสนับว่าน่ารักไปเลยเมื่อเทียบกับเรื่องนี้

ตัวเขาในอดีตได้ขึ้นมายังเขตสีส้มหลังจากที่เหตุการณ์นั้นขึ้นหนึ่งปี

และทำได้เพียงแค่ตื่นตะลึง

ในเมื่อร่างของผู้ที่ตายด้วยลาวายังคงกระจัดกระจายไปทั่ว

คนในอุโมงค์มดถูกเผาจากลาวาที่ไหลเข้าไปและกลายเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับฟอสซิล

กรากอซที่มีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์นับร้อยล้านคนก็ค้อยๆ ถูกเติมเต็มด้วยมนุษย์ที่ขึ้นมาจากเขตสีแดง

แต่ฮันซูไม่ได้สนใจเรื่องนี้

หากเขาสามารถรักษากรากอซได้และทำขั้นต่อไปได้สำเร็จ เช่นนั้นมันก็จะไม่มีทางที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งปี

แต่สิ่งนี้ได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป

‘ฉันรู้ว่ามันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่มันเร็วเกินไปแล้ว’

อคาเดรียน ผู้ที่มีสกิลที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาได้เอ่ยขึ้นกับเขาก่อนที่เขาจะมาที่นี่

<การที่นายกลับไปยังอดีตเพียงคนเดียวก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหนึ่งอย่างแล้ว จะมีอีกหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่นายรู้>

จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฮันซูไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเขา ทว่าเป็นความรู้ที่เขานำมาจากอนาคต

แน่นอนว่าจุดแข็งนี้จะเปราะบางลงเรื่อยๆ เมื่ออนาคตเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าฮันซูและคนอื่นๆ เชื่อในบางอย่างขณะที่วางแผนออกมา

เขตทั้งเจ็ดได้ถูกขวางกั้นด้วยกำแพงมิติ

พวกเขาเชื่อว่ากำแพงพวกนั้นจะช่วยลดบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในเมื่อเขตที่ต่ำกว่าจะได้รับปริมาณผลกระทบจะน้อยลงเพราะพวกเขาไม่อาจมองเห็นมันจากด้านบนได้

แต่การที่พวกเขาคำนวณผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวงแบบนี้

มันไม่ใช่ว่าเขาทำผิดพลาด และมันเป็นช่วงเวลาที่สั้นเกินกว่าที่คนคนหนึ่งจะสร้างผลกระทบใหญ่โตหลังจากที่ปีนขึ้นมา

ฮันซูขมวดคิ้ว

ในเมื่อเขาแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เลยแม้แต่น้อย

มันแทบจะไม่มีใครมีชีวิตรอดบนกรากอซหลังจากเหตุการณ์นี้

มีเพียงแค่คนที่แข็งแกร่งสุดๆ และคนโชคดีไม่กี่คนเท่านั้น

และมาร์กอชไม่กี่ตัวที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างมากจนสามารถต้านทานลาวาและขุดตัวลงไปในผิวของมันได้

และเพราะแบบนี้ มันจึงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมันมากนัก

‘มันไม่น่าจะเป็นฝีมือแฟรี่… มันควรจะมีมากกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ไหนกัน?’

 

 

“หืมมม ดูเหมือนคังฮันซูนั่นจะทำอะไรที่น่าตกใจสินะ? คุณ?”

คิมกวันเจ ผู้นำกิลด์รีโรรีโรเรพึมพำหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวจากคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา

และจุงซัง หนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณจึงแย้มยิ้มขณะที่เขามองไปยังกวันเจ

“ใช่ สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ?”

จู่ๆ จุงซังก็ถูกจับโดยกลุ่มคนลึกลับและถูกลากมาที่นี่

เขาพยายามที่จะต่อต้าน แต่เขาไม่อาจแม้แต่จะรับมือคนที่ถูกเรียกว่าระดับบัลลาดิที่นี่ได้

และคนที่เขาเคยเห็นในอดีตก็กำลังนั่งอยู่ในฐานะของหัวหน้า

คิมกวันเจ

คนที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้ในอดีตเพราะนึกสนุก

‘อืม ฉันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แต่… เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดไปจริงๆ แล้ว’

กวันเจดูแลเขาดีมาก

คนอื่นๆ อาจมองว่ากวันเจกำลังตอบแทนบุญคุณของผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และบอกว่าเขาเป็นคนดีมากๆ ทว่าจุงซัง ผู้ที่รู้จักชายคนนี้อยู่บ้างรู้ถึงเหตุผล

เหตุผลที่ทำให้หมอนี่ทำตัวดีกับเขาไม่ใช่เพราะเขาได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายหรือเพราะพวกเขาทั้งสองเป็นคนเกาหลี

หมอนั่นก็แค่ต้องการจะอวดเขา

ไปยังจุงซังที่มีอำนาจมหาศาลที่เขาไม่อาจแม้แต่จะไล่ตามได้

ผลงานของเขาที่เขาทำได้ในเขตสีส้ม

‘เขาเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว’

<เวรเอ้ย ไอ้สิ่งที่เรียกว่าหกขั้วอำนาจจะไม่มีขึ้นด้วยซ้ำถ้าฉันขึ้นมาเร็วกว่านี้!>

คนที่มักจะตะโกนว่ามันจะมีเพียงแค่ขั้วอำนาจเดียวแทนที่จะเป็นหกหากเขาขึ้นมาก่อน

เขาได้สำรวจไปทั่วทุกมุมของต้นไม้โลก จากนั้นจึงออกเดินทางไปกับผู้ติดตามของเขา

หลังจากที่โยนตำแหน่งหัวหน้ากิลด์ฮีคาริมที่ถูกสร้างขึ้นเอาไว้ทิ้งไป

<สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่โอเค พวกภัยพิบัตินั่นทำให้ฉันไม่สบายใจมากเกินไป>

มันผ่านมาสี่ปีแล้ว

‘เขาคงจะค่อนข้างหงุดหงิดเลย’

จุงซังหัวเราะขณะที่เขามองไปยังกวันเจที่กำลังหัวเราะเช่นกัน

คนที่อาศัยอยู่เพื่อลิ้มรสความยอดเยี่ยมของตนเอง

หมอนั่นไม่อาจแม้แต่จะรวบรวมความกล้าในการสัมผัสภัยพิบัติและทำเพียงแค่ย้ายตัวเองออกไป

และเขาก็ได้เติบโตขึ้นหลังจากที่แสดงความแข็งแกร่งของเขาออกมาเมื่อเข้ามายังเขตสีส้ม

แต่มีใครบางคนได้จัดการภัยพิบัติพวกนั้นที่ด้านล่างแล้วจึงขึ้นมา

แม้ฉากหน้าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะอยู่ ภายในคงจะกำลังหงุดหงิดมากๆ เลยทีเดียว

“ใช่แล้ว นายจะทำยังไงล่ะ?”

กวันเจยักไหล่หลังจากที่ได้ยินเรื่องที่จุงซังเล่า

“เอาเถอะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล แต่ผมมีแผนสำหรับเรื่องแบบนี้เอาไว้แล้ว”

“อะไรนะ?”

จุงซังขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดของกวันเจ

“คุณ  คุณเห็นว่าสิ่งนี้ดูเหมือนอะไรใช่ไหม? ใครกันที่คุณคิดว่าแข็งแกร่งกว่าเมื่อเทียบกับพวกภัยพิบัติ?”

จุงซังเอ่ยขึ้นเมื่อกวันเจถามเขาขณะชี้ไปยังสิ่งมีชีวิตหนึ่งที่ถูกเรียกว่ากรากอซที่พวกเขากำลังยืนอยู่ จากนั้นจึงเอ่ยตอบโดยไม่แม้แต่จะต้องคิด

“แน่นอนว่าไอ้นี่ต้องแข็งแกร่งกว่ามาก”

ภัยพิบัติได้ครอบครองฉายาเช่นนั้น แต่กรากอซพวกนี้อยู่คนละระดับ

กวันเจหัวเราะคิดคักขณะที่เขาเอ่ยขึ้น

“คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหมล่ะ? มันจะไม่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเหรอถ้าผมฆ่าไอ้สิ่งนี้ได้?”

“… อะไรนะ?”

จุงซังคิดว่าเขาหูฝาดไปและเริ่มรู้สึกสงสัยในโสตประสาทของตนเอง

หากมันเป็นคนอื่นที่เอ่ย เช่นนั้นเขาก็คงคิดว่าอีกฝ่ายเสียสติ แต่หมอนี่ไม่ใช่ใครที่จะเอ่ยพูดมั่วซั่ว

ในเมื่อเขาได้สร้างกิลด์ขนาดยักษ์ขึ้นมาและลงหลักปักฐานของตนเองในเขตสีส้มในเวลาเพียงแค่สี่ปี

‘ไม่สิ เขาคิดจะไปอยู่ที่ไหนกันหลังจากที่ฆ่าไอ้ตัวนี้ได้แล้ว…’

ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายคิด

‘เคลเดียน เอรีส คิมตังเต้ เป่าเหริน…’

เจ้าของหกขั้วอำนาจ

เรื่องราวอันน่าตื่นตะลึงที่คนพวกนี้ทิ้งเอาไว้

หมอนี่พยายามที่จะทำบางอย่างที่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้ให้สำเร็จ

บางอย่างที่ทุกคนจะนับถือและเคารพ เรื่องราวที่จะกลายเป็นตำนานในอีกโลก

เพียงเพื่อศักดิ์ศรีของเขา

‘… หมอนี่เองก็บ้า’

กวันเจเอ่ยขึ้นกับจุงซัง

“จริงๆ แล้วผมกำลังจะทำมันในปีนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าคนที่ยอดเยี่ยมนั่นเพิ่งจะขึ้นมาหรือ?”

เขาต้องการเวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะทำให้มันสมบูรณ์แบบ ทว่าจริงๆ แล้วเขาสามารถทำมันได้ตลอดเวลา

ไม่สิ เขาได้ส่งพิราบสื่อสารไปทุกทางแล้ว และแผนกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ

‘นายจะจากไปเฉยๆ แบบนั้นไม่ได้ นายต้องเห็นมันก่อนค่อยขึ้นไป’

การแสดงจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมันมีผู้ชม และข้อเสนอจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีใครบางคนทำให้มันเป็นแบบนั้น

หมอนั่นได้ขึ้นมายังเขตต่อไปเพียงหนึ่งเดือนก่อนที่จะขึ้นไปต่อ

ซึ่งหมายความว่าหมอนี่ไม่แม้แต่จะใช้เวลาถึงหนึ่งปีในการไต่ขึ้นไปอีกระดับ

ไม่สิ เขาอาจจะสามารถขึ้นไปได้ในเวลาไม่ช้านี้

ดังนั้นแล้ว เขาต้องเผยไพ่ในมือก่อนที่หมอนี่จะขึ้นไป

ว่าเขาได้ทำบางอย่างที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าหมอนั่น

‘นี่เป็นการแสดงสำหรับนายคนเดียว’

กวันเจคิดถึงฮันซูที่เขาไม่แม้แต่จะรู้จักหน้าพร้อมกับหัวเราะ

 

 

 

ฮันซูพึมพำขณะที่เขามองไปยังไอเลนที่หมดสติและห้อยอยู่ในมือของเขา

‘… ฉันต้องหาสาเหตุของมันก่อนเป็นอันดับแรก’

หากมันเป็นมากขนาดนี้ แสดงว่ามีใครบางคนเข้ามาแทรกแซง

มันยังไม่ได้ผ่านไปนานหลังจากที่ระดับของเหลวลดลงไปถึงพื้นที่สีดำ

ระดับของมันยังคงคงที่

เขาอาจจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้หากเขากำจัดสาเหตุของเรื่องนี้ออกไป

แต่การไปยังวิหารเองก็เป็นเรื่องสำคัญ

เขากำลังติดอยู่ระหว่างการที่เขาต้องการเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงและการค้นหาวิหาร

ดังนั้นแล้วฮันซูจึงส่งพิราบสื่อสารสีแดงออกไปตัวหนึ่ง

‘ตอนนี้เขาน่าจะขึ้นมาแล้ว’

ฮันซูสร้างพิราบสื่อสารขึ้นมาก่อนที่จะส่งมันไปยังทิศทางหนึ่ง

 

 

กวันเจคิดถึงฮันซูที่จะกลายเป็นผู้ชมของเขา จากนั้นจึงเอ่ยถามถึงเสี้ยววิญญาณคนอื่นๆ ที่ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา

“แล้วคนอื่นๆ ไปไหนล่ะ? คุณ? ไม่ใช่ว่ามันมีทั้งหมดเจ็ดคนเมื่อรวมคุณแล้วหรือ?”

ยิ่งมีผู้ชมมากแค่ไหนมันก็ยิ่งดี

เสี้ยววิญญาณที่สูงส่งน่าเกรงขามในเขตสีแดงย่อมเป็นผู้ชมที่ยอดเยี่ยม

เขากำลังรู้สึกดีเมื่อคิดถึงสีหน้าตื่นตะลึงที่เหล่าผู้น่าเกรงขามจากเขตสีแดงจะใช้มองเขา

จุงซังมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของกวันเจ

“ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นกับคนหนึ่ง… มีคนหนึ่งตามเจ้าฮันซูนั่นไป แต่ฉันไม่รู้ว่าอีกห้าคนไปไหน พวกเขาไม่ตอบพิราบสื่อสารของฉัน”

‘จะยังไงก็เถอะ… มิยาโมโตะตายจริงๆ เหรอ? งั้นมันก็น่าเสียดายนิดหน่อย… สกิลและอาร์ติแฟคของเขาค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว’

สกิลที่พวกเขามียอดเยี่ยม แต่แกนกลางคือมิยาโมโตะ

เพราะแบบนั้น เขาจึงได้ออกเดินทางไปทั่วพื้นที่ต้นไม้โลกเพื่อค้นหาร่องรอยของมิยาโมโตะในขณะที่ฮันซูกำลังล่ารูน

ผลลัพธ์คือความล้มเหลว

‘มันไม่ได้ดูเหมือนว่าฮันซูเคลื่อนไหวในระหว่างนั้น… หมอนั่นไปไหนกัน?’

ในขณะที่จุงซังหรี่ตาของเขาเมื่อคิดถึงมิยาโมโตะและอีกห้าเสี้ยววิญญาณ พวกเขากลับอยู่ในที่แห่งเดียวกันอย่างน่าตื่นตะลึง

 

 

ตูมมมม!

อาร์ค มาเรียน หนึ่งในเจ็ดเสี้ยววิญญาณขบฟันแน่นขณะที่เธอมองไปยังมานาสีม่วงที่ระเบิดมายังเธอ

แม้ว่าเธอจะล่าถอยไปเพียงเล็กน้อย พลังสนับสนุนมานาของเธอที่ถูกสร้างขึ้นโดยสกิลสนับสนุนสีทองก็ถูกฉีกกระชากอย่างรวดเร็ว

อาร์ค มาเรียนตวาดออกไปหลังจากถูกไล่ต้อนจนจนมุม

“ไอ้เวรบ้านี่! ทำไมนายถึงทำแบบนี้?”

มันเป็นเวลาสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เธอถูกรั้งไว้ด้วยอาคุมะข้างล่างนั่น

และเพราะแบบนั้น เธอจึงไม่ได้รวมตัวกับเสี้ยววิญญาณคนอื่นๆ และแยกตัวไป

เธออยากจะมีความสุขกับชีวิตของเธอสักหน่อยในตอนนี้

แม้ว่ามันจะเป็นเขตใหม่ อาร์ค มาเรียนก็มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสมบูรณ์

ว่าเธอจะสามารถตั้งตัวได้อย่างรวดเร็วด้วยสกิลและประสบการณ์ของเธอ

‘แต่การที่มาเจอกับไอ้ตัวเสียสติแบบนี้ตั้งแต่วินาทีที่ฉันขึ้นมา’

ทำไมมันถึงได้ไม่มีข่าวลืออะไรเลย เมื่อไหร่กันที่คนแบบหมอนี่ปรากฏตัวขึ้น?

และอาร์ค มาเรียนก็รู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับมิยาโมโตะที่จุงซังออกตามหา

สกิลของมิยาโมโตะ อาร์ติแฟคของมิยาโมโตะ

ในเมื่อคนเบื้องหน้าเธอกำลังใช้พวกมันในการบดขยี้เธอ

พวกเธออยู่ในระดับสูง แต่มิยาโมโตะอยู่ในระดับที่สูงกว่า

‘แล้วไอ้มานาสีม่วงนั่นมันบ้าอะไร! เขาไปเอามันมาจากไหน!’

เธอไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อนเลยว่ามีอะไรแบบนี้อยู่

ซังจินแย้มยิ้มขณะที่โจมตีอาร์ค มาเรียน

“ฉันก็แค่ต้องการลูกน้อง แต่การที่มีลูกน้องเก่งๆ มันก็ดีกว่า”

วินาทีที่สิ้นประโยค มานาสีม่วงของซังจินก็เผาไหม้สกิลสนับสนุนที่หลงเหลืออยู่รอบตัวของอาร์ค มาเรียน จนหมด

และหอกสีทองที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นราวกับสายฟ้าก็ฟาดตรงไปยังช่วงท้องของอาร์ค มาเรียน

พลั่ก!

“อุก…”

อาร์ค มาเรียนกัดฟันกรอดขณะที่หายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับกุมไปที่ท้องของเธอ

“ไอ้เวรเอ้ย… แกคิดเหรอว่าฉันจะเชื่อฟังนายด้วยการกระทำแบบนี้? ฉันเนี่ยนะ?”

เธอตระหนักขึ้นได้จากการโจมตีของอีกฝ่าย

เป้าหมายของหมอนี่คือการจับเป็นเธอ ไม่ใช่การฆ่า

ซึ่งหมายความว่ามันมีบางอย่างที่เขาต้องการถามเธอ

ซังจินหัวเราะขณะที่เขาส่ายศีรษะ

“สามคนก่อนหน้าเธอก็พูดแบบเดียวกัน แต่ฉันไม่รู้นะว่าอีกคนไปไหน”

“อะไรนะ?”

ทันทีที่สิ้นประโยค คนบางคนก็เดินออกมาจากหลังต้นไม้

อาร์ค มาเรียนกลืนคำพูดของเธอเข้าไปหลังจากเห็นภาพนั้น

“… พวกนาย”

เสี้ยววิญญาณอีกสามคนที่เธอแยกตัวออกมา

นั่นหมายความว่าเสี้ยววิญญาณทั้งหมดยกเว้นมิยาโมโตะ จุงซัง และโซเฟียได้ถูกรวบรวมไว้ที่นี่

แต่พวกเขามีสัญลักษณ์ของลอร์ดส่องประกายอยู่บนมือ

‘ใครกันที่สามารถ…?’

ไม่มีทางที่ลอร์ดทั่วไปจะสามารถควบคุมพวกเขาได้

ใครกันที่ได้ครอบครองลักษณะพิเศษที่ทรงพลังแบบนั้น?

ในขณะที่อาร์ค มาเรียนสติหลุด ใครบางคนก็เดินไปยังซังจิน

คนที่มีฉายาว่าลอร์ดวิปลาสในอดีต ทว่าตายและได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

วองยูงมองไปยังซังจินเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังเตรียมประทับสัญลักษณ์ลอร์ด

“… ถ้าฉันเชื่อฟังนาย ถ้าอย่างนั้นลูกสาวฉันก็จะปลอดภัยใช่ไหม?”

ลูกสาวของเขาที่พวกเขาได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากกางเขนที่เขาถูกฟื้นคืนชีพ

แน่นอนว่ามันเป็นบางอย่างที่เยรินทำเพื่อจับเป็นตัวประกันในการควบคุมเขา แต่เขาก็ยังคงรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างมากอยู่ดี

แต่เขาก็ยังคงไม่อาจหลบหนีชะตากรรมที่เธอถูกจับเป็นตัวประกันได้อยู่ดี

ตอนนี้เธอได้กลายเป็นตัวประกันของผู้ชายคนนั้น

‘เวรเอ้ย…’

ซังจินหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของวองยูงก่อนจะเอ่ยขึ้น

“แน่นอน และฉันบอกแล้วว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายสำหรับนายเช่นกัน ฉันบอกนายว่าฉันจะช่วยนายตามหาลูกชายใช่ไหม? นายก็แค่ต้องเชื่อฟังฉันให้ดีๆ เท่านั้น”

“…”

วองยูงกัดฟันกรอด

นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจฆ่าหมอนั่นได้

‘… หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าฉันมีลูกชาย?’

กลิ่นอายแปลกประหลาดได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากซังจินที่ดูจะนำหน้าอยู่ก้าวหนึ่งเสมออย่างต่อเนื่อง

ในตอนนั้นเองที่พิราบสื่อสารสีแดงได้บินมายังซังจิน

“หืมม…”

อาร์ค มาเรียนถอนหายใจกับสัญลักษณ์บนหลังมือของเธอขณะที่เธอมองไปยังซังจินที่กำลังมองพิราบสื่อสารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แม้ว่าเธอจะคิดต่อต้านในระหว่างการตราประทับ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร?

อาร์ค มาเรียนยังไม่อยากตาย

‘เวรเอ้ย กับการที่ถูกล่ามทันทีที่ฉันเป็นอิสระ’

ความเคลือบแคลงและความภักดีได้บินว่อนไปทั่วสมองของเธอเมื่อสัญลักษณ์ที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอจินตนาการกำลังเผาไหม้เธอ

แม้ว่าคำสั่งฆ่าตัวตายจะยังยากเกินไปในเมื่อเธอค่อนข้างจะแข็งแกร่งด้วยตนเอง ทว่าเธอก็จำเป็นต้องยอมรับสถานะเจ้านายและข้ารับใช้เอาไว้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

อาร์ค มาเรียนถอนหายใจและตระหนักได้ว่าเธอไม่แม้แต่จะรู้ชื่อของตนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นไปยังซังจิน

“ฉันจะต้องเรียกนายว่าอะไร?”

ซังจินแย้มยิ้มก่อนจะเอ่ยตอบ

“ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรู้ชื่อฉันหรอกในเมื่อมันธรรมดามาก เรียกฉันว่าลอร์ดวิปลาสแล้วกัน”

“… ลอร์ดวิปลาส”

‘เวรเอ้ย ฉันดันถูกจับโดยไอ้คนแปลกประหลาดนี่ซะได้ ทำไมต้องเป็นชื่อโง่ๆ แบบนั้น…’

อาร์ค มาเรียนเอ่ยถามคำถามสุดท้ายออกไป

“ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้?”

ซังจินยักไหล่

“ก็แค่เพราะ”

“อะไร?”

“มันมีหลายอย่างที่ฉันอยากทำ และมันจะไม่น่าเบื่อถ้าทำมันกับคนหลายๆ คน ไปกันเถอะ”

“…”

วองยูงและคนอื่นๆ กัดฟันกรอดไปยังซังจิน ทว่าก็ยังคงตามเขาไป

 


TL: ทุกเรื่องมักจะมีตัวละครที่พยายามลากทุกคนไปตายหนึ่งตัวเป็นอย่างน้อย

ปล. ซังจินนนน//โบกป้ายไฟ