สายตาของถังซิ่วไปหยุดอยู่ที่โต๊ะเรียนของเขา โต๊ะของเขานั้นเต็มไปด้วยหนังสือคู่มือและกระดาษขอสอบกองรวมกันมีความสูงเกือบ 50 ซม

ไม่ใช่แค่เฉพาะโต๊ะของถังซิ่วเท่านั้นที่เป็นแบบนั้น ,ถ้าลองมองดูดีๆก็จะเห็นได้ว่าโต๊ะของนักเรียนเกือบทั้งหมเป็นแบบเดียวกันทว่าส่วนที่แตกต่างนั้นคือหนังสือและกระดาษข้อสอบของถังซิ่วนั้นดูใหม่มาก แต่ก็ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อยส่วนของนักเรียนคนอื่นๆในห้องนั้นวางกองกันเละเทะเหมือนกองขยะ

ถังซิ่วได้ตรวจสอบกระดาษคำตอบของตัวเองดูและพบว่ามีแต่คำถามที่เขาไม่อาจเขาใจได้พร้อมด้วยวงกลมสีแดงเต็มไปหมดซึ่งทำให้เขาถึงกับอับอาย

“ดูเหมือนว่าก่อนที่ตัวเราจะแก้ปัญหาเรื่องแนวทางบ่มเพาะพลังตอนนี้เราคงต้องรีบแก้ปัญหาเรื่องเรียนก่อนไม่อย่างนั้นเราคงได้ถูกไล่ออกจากโรงเรียนจริงๆแน่แล้วแม่ก็คงจะต้องรู้สึกไม่สบายใจ ”

ถังซิ่วได้พูดกับตัวเองเบาๆก่อนที่จะหยิบหนังสือต่างๆขึ้นมาอ่าน

“หลังจากที่วิญญาณได้รับความเสียหาย  ถังซิ่วกับวิญญาณที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกนั้นแม้ว่าสติปัญญาจะได้รับความเสียหายแต่ก็ตั้งใจศึกษาอย่างตรงไปตรงมา คู่มือศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่หนึ่งสองและสามนั้นได้ถูกเรียกลำดับไว้ที่โต๊ะของเขาแล้วและนี่ทำให้ตัวถังซิ่วในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องลำบากในการตามหาและเรียงลำดับ”

ด้วยความที่ว่าเป็นเขาลูกกําพร้าพ่อเป็นเหตุผลให้ถังซิ่วนั้นเป็นเด็กที่เชื่อฟังตั้งแต่ยังเด็ก เขาขยันในด้านการเรียนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ประถมถึงมัธยมต้นนั้นเขาได้แสดงสุดยอดความสามารถของเขาโดยการสอบเขาของระดับมัธยมศึกษานั้น เขาสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมสตาร์ซิตี้ได้เป็นอันดับหนึ่งและในการสอบย่อยต่างๆของโรงเรียนเขาก็ยังคงได้ที่หนึ่งเช่นกัน

หลังจากที่ได้รับอุบัติเหตุทางถนนตอนอยู่มัธยมที่สองนั้นทำให้วิญญาณของเขาเสียหายซึ่งการจำสิ่งต่างๆของเขาได้ถดถอยลงเรื่อยๆและไม่ว่าเขาจะขยันอย่างไรเขาก็ไม่สามารถตามการเรียนการสอนได้ทันทำให้คะแนนของเขาตกลงเรื่อยๆ จนถึงขึ้นอยู่อันดับสุดท้าย

หากถังซิ่วต้องการที่จะเพิ่มคะแนนการสอบก็ไม่เพียงต้องเรียนรู้ความรู้ของแค่มัธยมศึกษาที่สองเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงระดับมัธยมศึกษาที่สาม ถ้าหากว่าเป็นถังซิ่วคนก่อนหน้านี้มันคงเป็นงานไปไม่ได้เลยที่จะเอาศักดิ์ศรีของเขากลับคืนมาภายในเวลาแค่สามเดือนแต่นี้มันไม่ได้เป็นปัญหากับถังซิ่วคนปัจจุบันเลยซักนิด

“ลูกพี่, อย่าเสียแรงเปล่าเลย , เราสองพี่น้องนั้นไม่ได้เหมาะกับการเรียนหรอก ขยันไปตอนนี้ก็ไม่ช่วยอะไร”

ขณะที่ถังซิ่วกำลังพลิกหน้ากระดาษหนังสือไปเรื่อยๆก็ได้มีฝ่ามือมาแตะที่ไหล่ของเขาพร้อมกับเสียงที่ดังมาข้างหูของเขา

เจ้าของเสียงนั้นเองก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากเพื่อนร่วมโต๊ะของเขา หยวนชูหลิง เขาคิดว่าเหตุผลที่ถังซิ่วไปเปิดคู่มือเรียนอ่านหนังสือนั้นเป็นเพราะว่าคำพูดของฮูฉิวเชง

หยวนชูหลิงนั้นเป็นเพื่อนที่หายากของถังซิ่วคนหนึ่งซึ่งสามารถนับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้เลย

ช่วงที่สอบเข้าเรียนที่โรงเรียนนั้นคะแนนของหยวนชูหลิงเองก็ถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว แค่ว่าหลังจากที่ขึ้นชั้นมัธยมศึกษาที่สองแล้วพ่อแม่ของหยวนชูหลิงได้หย่าร้างกันจึงทำให้เขาเริ่มที่จะหนีเรียนและชกต่อย, มีความรักและหนีการสอบ ซึ่งกลายเป็นคนที่เหล่าครูเกลียดคนหนึ่ง

สองปีผ่านไป, แม้ว่าหยวนชูหลิงจะสามารถรับความจริงที่ว่าพ่อแม่หย่ากันได้แต่มันก็ได้สร้างความทรงจำปวดร้าวซึ่งไม่สามารถเรียกคืนกลับมาให้เค้าได้ ความใฝ่รู้ในการเรียนของเขาไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว

“เจ้าอ้วน , เราต้องตั้งใจเรียนนะรู้ไหมไม่อย่างนั้น …….”

ถังซิ่วพูดได้ยังไม่ทันจะจบประโยค เขาก็หยุดเพราะเหตุผลที่เขามาเรียนนั้นล้วนมาจากความต้องการของแม่เขา หยวนชูหลิงในตอนนี้นั้นเกลียดพ่อแม่ไปถึงกระดูกดำ นี่เป็นการเอาคืนของเขาต่อพ่อแม่ที่หย่ากัน

“ อืม, ปล่อยมันไปเถอะ , สถานการณ์ของเรานั้นแตกต่างกันนายก็ตั้งใจเรียนซะอย่าทำให้คุณป้าต้องผิดหวังส่วนชีวิตของฉันก็จะอยู่แบบนี้แหละ ”

“เจ้าอ้วน,ตั้งแต่ที่นายมาเข้าเรียนไม่เคยสายเลยซักครั้งและนั่นเป็นตัวบ่งบอกว่าใจของนายรักในการเรียน,นายตั้งใจจะให้ลุงกับป้าเสียใจใช่ไหมล่ะ อยากให้เขารู้สึกเจ็บปวดใช่ไหม ? ”

เมื่อได้ยินคำพูดของถังซิ่วแล้วใบหน้าของหยวนชูหลิงเองก็ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมพยายามหลบสายตาของถังซิ่ว

“เจ้าอ้วน , แม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าทำไมคุณลุงและป้าถึงได้หย่ากันแต่ฉันรู้อย่างนึงว่าเวลาที่ฉันมองไปในดวงตาพวกเขานั้น ฉันเห็นแต่ความรักที่พวกเขามีให้นาย ที่เขาหย่ากันอาจจะเป็นเพราะพวกเขาอาจจะเข้ากันไม่ได้และตัวนายเองก็รู้สึกไม่ดีที่นายทำตัวแย่แบบนี้ พวกเขาก็รู้สึกเสียใจ ? ”

ถ้าเกิดว่าคนจากดินแดนแห่งนิรันดร์ได้มาเห็นฉากที่ถังซิ่วพยายามอย่างมากที่จะโน้วน้าวจิตใจพวกมนุษย์ที่เปรียบเหมือนมดปลวกเพื่อที่จะให้ตั้งใจทำงานนั้นพวกเขาคงจะอ้าปากกว้างจนคางติดดินกันเลยทีเดียว

เพราะว่าตัวเขาในดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นเป็นคนที่เย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นภรรยาหรือเพื่อนสนิทเขาก็ไม่เคยที่จะปริปากช่วยเลยและเปรียบได้กับคนแปลกหน้า

สิ่งที่หยวนชูหลิงได้ก้าวออกมาปกป้องเขาในยามที่จนมุมในวันนั้นได้กินใจเขามากและทำให้ถังซิ่วยอมรับเขาเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง

ถังซิ่วตอนนี้นั้นไม่มีอะไรเลย ครอบครัวก็ยากจนและไม่มีปัญญาจะจ่ายเงินด้วยซ้ำส่วนเกรดเฉลี่ยก็ตกเอาๆและถือได้เป็นคนที่สมองมีปัญหาเลยทีเดียวทว่าในสถานการณ์เช่นนี้หยวนชูหลิงก็ยังเลือกที่จะอยู่ข้างเขาโดยไม่ไปไหน มันถือได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่หาได้ยากมาก

“ฉันเองก็รู้ว่าพวกเขาเองก็ลำบากใจที่ต้องหย่าแต่ฉันไม่สามารถลืมความรู้สึกไปได้เลย ”

หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ซักพัก หยวนชูหลิงก็พูดออกมาแบบเจือนๆ

“อืม,เรื่องของฉันน่ะช่างมันเถอะ ว่าแต่เรื่องของนายเถอะไอฮูนั่นมันบอกว่าจะไล่นายออกจากห้องไม่ก็ไล่ออกจากโรงเรียนหนิ ทำไมฉันรู้สึกว่านายไม่ค่อยเป็นกังวลเลยแหะ ?”

หยวนชูหลิงไม่อยากพูดเรื่องที่พ่อแม่ของเขาหย่ากันอีก ถึงได้พยายามพูดเปลี่ยนเรื่อง

“เกรดของฉันมันแย่เกินไปแฃะไม่แปลกหรอกที่อาจารย์ฮูอยากจะไล่ฉันออก ,นายไม่คิดว่าห้องนี้มันไร้มนุษย์สัมพันธ์บ้างหรอ ? บางทีได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน นายไม่คิดอย่างนั้นหรอ ?”

เมื่อถังซิ่วได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มและตอบอย่างไม่แยแส

“ทำไมฉันรู้สึกว่าวันนี้นายดูแปลกๆไปนะ ?”

เมื่อได้ยินคำตอบของถังซิ่วนั้นทำให้เขาแถบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองจึงอดไม่ได้เลยที่จะถามออกมา

“นี่…….นี่……. หรือว่าสมองของนายกลับมาเป็นปกติแล้ว !!!!”

“ใช่, ตอนนี้สมองของฉันกลับมาเป็นปกติแล้ว ขอบคุณสำหรับความจริงใจตลอดมานี้ ฉันตัดสินใจได้ว่าฉันจะแย่งเก้าอี้ตำแหน่งที่หนึ่งของชั้นปีกลับมาแล้ว ”

“นี่มัน……นี่มันน่าดีใจเกินไปแล้ว , มาๆๆๆวันนี้เราต้องดื่มฉลอง ฉันจะเลี้ยงนายเอง ”

เมื่อได้ยินว่าการคาดเดาของตัวเองนั้นถูกต้อง หยวนชูหลิงนั้นดีใจเป็นอย่างมากพร้อมรีบดึงข้อมือของถังซิ่วออกไปนอกห้องโดยไม่สนใจเสียงระฆังโรงเรียน

ถังซิ่วมีความคิดที่จะต่อต้านเขาแต่ร่างกายของหยวนชูหลิงนั้นใหญ่กว่าตัวเขาถึงสามเท่า,พลังของหยวนชูหลิงในตอนนี้นั้นเป็นอะไรที่เขาไม่สามารถต่อต้านได้เลย

“พวกเธอหยุดอยู่ตรงนั้นเลย ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาเรียน กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเองเดี๋ยวนี้”

ถังซิ่วพึ่งจะเดินไปถึงหน้าประตูเท่านั้นแต่ก็ถูกหยุดไว้โดยฮูฉิวเชง

หยวนชูหลิงได้แต่มองไปที่ถังซิ่วด้วยความรู้สึกขอโทษ

ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ต่อให้ถังซิ่วจะมีคะแนนแย่ยังไงทว่าเขาก็ไม่เคยขาดเรียนหรือหนีเรียนเลยซักครั้งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่วันนี้ถูกตัวเองลากออกมา ในใจของหยวนชูหลิงเลยได้แต่รู้สึกเศร้าอยู่ภายในใจ

“อาจารย์ฮู ,ถังซิ่วรู้สึกไม่สบายผมเลยกะจะพาเขาไปห้องพยาบาล ขออนุญาตลาพักซักครึ่งชั่วโมงได้ไหมครับ ?”

หยวนชูหลิงกรอกตาไปมาพร้อมโกหก

เมื่อฮูฉิวเชงได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ได้กวาดสายตาดุร้ายไปที่ถังซิ่วพร้อมทั้งกล่าวว่า

“หยวนชูหลิง, จะให้ฉันพาถังซิ่วไปห้องพยาบาลเป็นเพื่อนเธอไหม ?”

“พวกเราไม่อยากรบกวนอาจารย์และเราสามารถทนได้ เราค่อยไปห้องพยาบาลกันเองก็ได้หลังจากที่จบคาบเรียน ! ”

เมื่อได้ยินคำถามของอาจารย์แล้วหยวนชูหลิงจึงรีบส่ายหน้าพร้อมลากถังซิ่วกลับไปที่โต๊ะเรียน

หลังจากเห็นหยวนชูหลิงและถังซิ่วกลับไปที่โต๊ะของตัวเองแล้วฮูฉิวเชงก็เดินไปที่หน้าชั้นเรียน

หลังจากที่ ฮู ฉิวเชง “กระแอ๊ม” หนึ่งครั้ง ทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

“หลังจากที่ครูใหญ่โรงเรียนและกรรมการหารือกันแล้วได้ข้อสรุปว่าถังซิ่วจะไม่ใช่นักเรียนห้องห้าอีกต่อไป ,ในสามเดือนที่เหลือนี้ เขาจะย้ายไปอยู่ห้องสิบโดยทันที”

“นี่มันเยี่ยมจริงๆ หลังจากที่ถังซิ่วย้ายไปแล้วเกรดเฉลี่ยรวมของห้องเราจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน!”

“ฉันคำนวณไว้ว่าถ้าถังซิ่วออกไปนั้นคะแนนเฉลี่ยห้องเราจะต้องขึ้นเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนอย่างแน่นอน ”

…….

ฮูฉิวเชงทอดสายตาไปที่ถังซิ่วพร้อมอ่านประกาศ

เมื่อเขาได้ยินคำประกาศจากฮูฉิวเชงนั้นก็ทำให้ถังซิ่วหน้าซีดลงทันที

ถึงแม้ปากเขาจะบอกว่าไม่สนใจ แต่การย้ายชั้นเรียนเองกับโดนไล่ออกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงและตอนนี้ฮูฉิวเชงถึงกลับกล้าประกาศเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน นี่มันเหมือนการตบเขากลางห้องเรียนชัดๆและทำให้เขาโกรธพร้อมความไม่สบายใจโดยทันที

“ อาจารย์ฮู ถังซิ่วนั้นได้หายจากอาการที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุแล้วและสามารถกลับมาเรียนดีได้เหมือนเดิมแน่ ได้โปรดเอาเอกสารนี้กลับไปให้ครูใหญ่ตัดสินใจอีกครั้งด้วยเถอะครับ  ”

หลังจากที่นิ่งอยู่ซักพักหยวนชูหลิงได้ตะโกนออกไป

“ ไอแบบนี้หนะฉันได้ยินมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วรู้ไหม ? ฉันจะไม่เชื่ออะไรเธออีกแล้ว ไม่ต้องรับรองถังซิ่วอะไรทั้งนั้นและอีกอย่างครูใหญ่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงค่ำสั่งที่ตัดสินแล้วอย่างใจนึกได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเวลาแค่สามเดือนถังซิ่วจะทำคะแนนสอบได้ดีขึ้น ”

ฮูฉิวเชงจ้องมองไปที่หยวนชูหลิงพร้อมตอบกลับทันที