แต่เดิมทีมันเป็นป่าเขาที่เขียวชอุ่ม แต่ในตอนนี่ที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศความมืดมน มีแมลงพิษกระจัดเต็มไปหมด เสียงคำรามดุจฟ้าผ่าของเหล่าสัตว์ร้ายคอยกดดันแทบจะตลอดเวลา อีกทั้งยังมีพยัคฆ์ร้ายและอสรพิษ และสัตว์ชนิดอื่นๆที่คอยจ้องจะจัดการเราทันทีที่ได้กลิ่น ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านไปทั้งผิวกายบาดลึกเข้าไปถึงกระดูก

“แฮ่….”

จากส่วนลีกในหุบเขานั้น ได้ยินเสียงคำรามที่น่าหวาดหวั่น ก้นหินกลิ้งไปมาเพราะเสียงสะท้อนที่ดังกึกก้อง บรรดาต้นไม้ส่ายไปมาอย่างรุนแรงจนใบไม้ปลิวกระจัดกระจายอย่างบ้าครั่ง ณ ที่ไกลๆ มีสัตว์ร้ายร้ายขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนที่

ใบหน้าของกลุ่มเด็กๆต่างก็เปลี่ยนเป็นซีด ที่ตรงนี้ค่อนข้างไกลจากหมู่บ้านศิลา ซึ่งพวกเขาแอบหนีเที่ยวออกมา พวกเขาอยู่ในบริเวณป่าโบราณ แต่ยังโชคดีนัก ที่พวกไม่ได้หลงเข้าไปในบวิเวณที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์ร้าย

“พี่ต้าจง ป่าไม้ของที่นี่อันตรายเกินไป พวกเราไม่ควรเดินทางต่อเข้าไปอีกนะ” เด็กตัวเล็กคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

พวกเขาเติบโตใกล้ๆป่าเขาแห่งนี้ ต่างรู้กันดีโดยธรรมชาติว่าที่แห่งนี้อันตรายแค่ไหน เนื่องจากที่นี่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายมากมายหลากหลายชนิด บิดามารดาของพวกเขากำชับอยู่เสมอว่าไม่ให้แอบเข้ามาที่นี่ เพราะอาจทำให้พวกเขาเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

คนในกลุ่มนี้เป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น ประกอบไปด้วยจำนวนคนประมาณ10คน แน่นอนว่าหัวหน้าของกลุ่มย่อมต้องเป็น ฉีต้าจง ผู้ที่สามารถยกหม้อทองแดงโบราณหนัก1000จินนั่นเอง เขามีคิ้วหนา ตาโต รูปร่างหนากับแขนที่เทอะทะ ยิ่งไปกว่านั้น ความสูงของเขาเกือบจะเท่ากับผู้ใหญ่ เขามองตรงไปที่เด็กคนหนึ่งแล้วถามออกมา “ไป่หัว ตอนนี้เดินทางไปทางไหนต่อ”

ชื่อจริงของไป่หัวคือ ฉีจงหัว เขาเกิดมามีลักษณะผอมแห้งดูไร้เรี่ยวแรง อย่างไรก็ตามเขาแข็งแกร่ง ทั้งยังฉลาดและมีไหวพริบเป็นเลิศ เขาตอบกลับไปว่า “ข้าเคยได้ยินจากลุงหลิงหู่ ว่าหมู่บ้านยอดผาอยู่ไม่ไกลมากนัก หากไปตามเส้นทางนี้ ดังนั้นพวกเราควรไปเส้นทางนี้”

“ฉีเฮ่า เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร” ฉีต้าจงถามออกมา

แต่ก่อนนั้น สำหรับกลุ่มเด็กๆแล้ว ฉีเฮ่าเป็นแค่แมลงไร้ประโยชน์คอยติดตามไปที่ไหนก็ตามที่พวกเขาไป ตั้งแต่เหตุการณ์ที่เขาสามารถยกหม้อทองแดงได้และทำให้บรรดาผู้ใหญ่ของมาที่เขาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด ไม่จำเป็นต้องอธิบายอาการเหล่านั้นให้แก่พวกเด็กๆ ฉีเฮ่าก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มในทันที

“อาจเกิดอันตรายขึ้นได้ หากพวกเรายังคงเดินไปแบบนี้” เสียงของเฮ่าน้อยชัดเจนและสายตามั่นคง เต็มไปด้วยไหวพริบพุ่งไป ยามที่เขาพูดออกมา

“แต่ระยะทางจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก” ฉีต้าจงเอ่ยขึ้นมา

เด็กๆมากกว่าครึ่งต้องการเคลื่อนที่ด้วยการเดินไป

“เมื่อพวกเจ้าไป ข้าก็จะไปกับพวกเจ้าด้วย” ฉีเฮ่าตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ในครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งของการผจญภัยของพวกเขา โดยที่กลุ่มของพวกเด็กๆเดินทางมาได้ไกลประมาณ 1ลี้แล้ว บรรดาต้นไม้ใหญ่ๆเริ่มค่อยบางตาลงไป เหล่าพืชพันธุ์ทั้งหลายหายไปทีละนิด สัตว์ร้ายปรากฏออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกลิ่นของความเลวร้ายลอยฟุ้งทั่วบรรยากาศ

ภายในภูเขาที่เต็มไปด้วยหินขรุขระแห่งนี้ ถูกเรียกว่าป่าศิลา มีบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงัดและที่พื้นต่างก็เต็มไปด้วยซากสัตว์ร้ายใหญ่มากมายกระจัดกระจาย มันมีสีขาวดุจหิมะ ทำให้ดูยิ่งน่าหวาดกลัว

ไป๋หัวมองไปรอบๆแล้วเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่นี่แหละ ลุงหลิงหู่บอกว่ามีสถานที่หลบภัยแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาในส่วนที่ลึกที่สุดของป่าศิลา”

ฉีต้าจงลดเสียงลงแล้วเอ่ยเตือนพวกเด็กๆ “กระดูกพวกนี้ส่วนใหญ่น่าจะเป็นซากที่เหลือจากการโดนกิน ถึงแม้ในเวลานี้จะยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พวกเรายังต้องระวังตัวไว้ ถ้าพวกนายคนไหนหลงกลุ่มไป มีโอกาสตายสูงมาก”

พวกกลุ่มเด็กๆนั้นทั้งหมดต่างก็เติบโตภายใต้พื้นที่มีอันตรายสูงมาก ทำให้ความระแวดระวังสูงมาก เหมือนดั่งหลงอยู่ในดงสัตว์ร้าย พวกซ่อนตัวด้วยความรวดเร็วและคล่องแคล่วภายในรอยแตกของป่าหินโดยบดบังร่างกายของพวกเขาไว้ พวกเขาตรวจสอบไปรอบๆอย่างรัดกุมโดยการใช้ประโยชน์จากสายลม หลัวจากนั้นพวกเขาต่างพยักให้แก่แล้วพุ่งตัวไปส่วนที่ลึกที่สุดของป่าศิลา

ระหว่างทางนั้น พวกเด็กๆต่างก็พบเห็นกองกระดูกที่ขาวดุจหิมะแลดูน่าสยดสยองกองรวมกันทุกๆห้าหรือหกเมตร รวมถึงกระดูกส่วนกะโหลกของสัตว์ร้ายขนาดใหญ่อีกด้วย กระดูกพวกนั้นล้วนเป็นซากของสัตว์ร้ายและยังมีสัตว์ประเภทนกรวมอยู่ด้วย เป็นเหตุให้สถานที่แห่งนี้ปกคลุมด้วยกลิ่นไอความตาย

พวกเด็กๆเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ เหมือนมีพายุนับสิบลูกกำลังพุ่งไปที่ส่วนลึกของป่าศิลา

ข้างหน้าของพวกเขาคือหน้าผาขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความแห้งแล้งจนกลายเป็นความเงียบจนวังเวง  สถานที่หลบภัยตรงหน้าเป็นรังขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างอยู่บนหน้าผาโดยใช้ไม้ดำเป็นวัสดุก่อสร้าง แผ่ความรู้สึกดูมืดมนออกมาอย่างต่อเนื่อง

พวกเด็กต่างหลบซ่อนตัวอยู่ในรอยแตกของภูเขาหินที่ไกลสุดลูกหูลูกตา จากระยะไกลมองเห็นเป็นรังขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่า10เมตร หากทุกคนมองดูก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่ามันคือรังของนกอสูร

“เป็นที่นี่แหละ”

“อินทรีเกล็ดเขียวจะออกบินตะลอนเป็นเวลานาน ก่อนจะกลับมาสร้างรังขนาดใหญ่ ถ้าเรื่องที่ลุงหลิงหู่เล่ามาเป็นเรื่องจริง ในรังจะต้องมีลูกนกแน่นอน”

สายตาของพวกเด็กเป็นประกาย นี่แหละเป้าหมายหลักของพวกเขา

อินทรีเกล็ดเขียวคือสัตว์ร้ายประเภทนกที่มีลักษณะก้าวร้าวและทรงพลังมาก ลำตัวของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือดอาถรรพ์ จึงเป็นไปได้ยากที่จะจัดการกับพวกมัน และหากนกพวกจะจัดการกับเหยื่อที่เป็นสัตว์ร้ายหรือสิ่งมีชีวิตแล้ว พวกนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน มีโอกาสน้อยมากที่สามารถหนีไปโดยที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้

“ท่านลุงหลิงหู่ได้บอกวิธีสังเกตพวกมันไว้ อินทรีตัวผู้จะไม่แสดงตนออกมาหากไม่มีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในบริเวณหุบเขาแห่งนี้ และทุกๆช่วงเวลากลางวัน อินทรีตัวเมียจะปรากฏตัวออกมาเพื่อล่าเหยื่อ ถ้าหากพวกเราต้องการเข้าไปใกล้ๆรัง ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด” ไป่หัวเอ่ยขึ้นมา

ในเวลานี้ พวกเด็กๆต่างกำหมัดของพวกเขาแน่น แสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างชัดเจน แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความมุ่งหวังและความตื่นเต้น พวกเด็กๆผู้ที่เติบโตท่ามกลางป่าเขาช่างเต็มไปด้วยความอาจหาญและกร้าวแกร่งยิ่งนัก มิฉะนั้น คงมิกล้าบุกเข้ามาในสถานที่อันตรายแห่งนี้เป็นแน่

“ทุกคนซ่อนตัวที่รอยแตกของหิน ข้าจะลองโยนหินทดสอบดูเสียก่อน” เด็กชายผิวดำเข้มเอ่ยออกมา เขามีชื่อว่า ฉีเมิ่ง บรรดาชาวบ้านต่างเรียกเขาว่า เมิ่งเอ๋อ ระหว่างการฝึกวิทยายุทธ์นั้น เขาคือคนที่คว่ำวัวตัวอ้วนนั่งเองและยังเกือบจะยกหม้อทองแดงยักษ์ได้ ภายในกลุ่มเขาเป็นรองแค่ฉีเฮ่ากับฉีต้าจงเท่านั้น

“ฟิ้ว…..ปัง”

เสียงของก้อนหินฝ่าอากาศพุ่งเข้าไปไกลในระดับหนึ่งและกระทบกับหน้าผา แล้วกลิ้งตกลงมาบนกองซากปรักหักพัง เกินเสียงดังขึ้น

พวกเขาทั้งหมดสะดุ้งสุดตัว แต่ยังโชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เมิ่งเอ๋อ อย่าได้ทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้ จงระมัดระวังให้มากกว่านี้”

“ข้าเพียงต้องการตรวจสอบว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในหรือไม่ แต่ตอนี้พวกเรารู้แล้วว่าไม่มีปัญหา รีบเข้าไปกันเถอะ” เมิ่งเอ๋อพูดเป็นเชิงแสดงเจตนาของเขาก่อนจะพุ่งตัวไปข้างหน้า

“พี่ชายเมิ่งเอ๋อ รอซักครู่หนึ่ง” เฮ่าน้อยคว้าก้อนหินซัดไปที่เดิมอีกครั้ง เกิดเป็นเสียงสะท้อนดั่งไปทั่วหน้าผา เวลาผ่านไปครู่หนึ่งความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง อินทรีไม่ได้ปรากฏออกมา

“ไปกันเถอะ!!”

ในตอนนี้กลุ่มเด็กๆดูไม่ต่างจากฝูงสัตว์ร้ายด้วยเสียงโห่ร้องกึกก้อง พวกเขาพุ่งไปอย่างสายฟ้าแลบไปที่หน้าผา

“พี่ชายต้าจงกับพวกเรารออยู่ที่นี่ ให้ข้าเข้าไปสำรวจก่อนเถิด” ฉีเฮ่าพูดออกมา

“เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อยยังไม่เลิกดื่มนมด้วยซ้ำไป ถ้าเจ้าเข้าไปข้างในได้ พวกเราก็เข้าไปได้เหมือนกัน” ฉีต้าจงพูดตอบท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนในกลุ่ม ในเวลานี้เฮ่าน้อยยังคงไม่เลิกดื่มนมและจนโดนล้อเลียนอยู่เสมอ

“ข้าเริ่มกินเนื้อมานานแล้วนะ ส่วนนม ข้าแค่ดื่มแทนน้ำเท่านั้นเอง” เด็กน้อยแสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมย่นจมูก เด็กชายขึงตากลมโตสีดำของเขาที่เหมือนดั่งอัญมณีในขณะที่พยายามแก้ตัว

แน่นอนว่าเด็กฉลาดมากพอที่จะรู้ว่ากลุ่มเด็กไปได้ตั้งใจจะล้อเลียนเขา เพียงแต่ค่อนข้างจะเป็นห่วงเสียมากกว่า พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้เด็กน้อยเข้าไปเสี่ยงเพียงคนเดียว

“ข้ารวดเร็วกว่าพวกพี่ชายนะ หากมีอันตรายข้าสามารถหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว” เด็กน้อยไม่ยอมรอการโต้ตอบ พุ่งออกไปแล้วเริ่มปีนป่ายอย่างเชี่ยวชาญและคล่องแคล่ว

“อย่ามาดูถูกพวกเรานะ พวกเราเองก็ไปกันเถอะ” ฉีต้าจง เมิ่งเอ๋อและไป่หัวพุ่งตัวตามหลังเด็กน้อยไปอย่างกระชั้นชิดราวกับวานร

หน้าผามีรอยแตกค่อนข้างเยอะ ทำให้พวกเด็กๆปีนป่ายขึ้นไปอย่างรวดเร็ว พวกเด็กๆนั่นเติบโตมากับป่าและภูเขา เพราะฉะนั้นความสามารถในการปีนป่ายของพวกเขาจึงน่ากลัวมาก

“ฮู่…ในที่สุดก็ถึงยอดซะที”

ยอดหน้าผาแห่งนี้มีความสูงประมาณ300เมตร หลังจากที่ฉีเฮ่ามาถึง เด็กๆอีกสามคนก็ตามมาถึงไม่ห่างไกลเท่าไหร่ พวกเขาทั้งหมดยื่นหน้าเข้าไปสำรวจก่อนจะเดินตรงเข้าไปในรังยักษ์

“ช่างเป็นรังที่ใหญ่โตมากๆ” ไป่หัวอ้าปากค้างด้วยความทึ่ง

เมื่อยื่นมองในระยะใกล้กว่าเดิม พวกเขาทั้งหมดยิ่งรู้สึกตกใจ รังขนาดความกว้าง 10 เมตรสร้างมาจากไม้ดำ ส่วนยอดสามารถใช้เป็นที่อยู่ได้สบาย เพราะมีพื้นที่พอบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านหินผาเลยทีเดียว

พื้นที่รอบๆที่นอนของนก มีขนาดกว้างมากเต็มไปด้วยรอยเลือดและโครงกระดูก อีกทั้งกระดูกแต่ละชิ้นต่างมีขนาดใหญ่กว่าคนหนึ่งคนเสียอีก ช่างดูน่าสยดสยองจริงๆ

โดยเฉพาะกระดูกชิ้นที่อยู่บนสุดยังมีร่องรอยอันเหี้ยมโหดของกรงเล็บ และยังมีรอยเลือดที่ยังเหมือนใหม่ ทำให้ดูน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

“นั่นมันกระดูกของช้างเขามังกรไม่ใช่เหรอ ช่างน่ากลัวจริงๆ” เมิ่งเอ๋อร้องขึ้นอย่างตื่นตระหนก

“อย่างพึ่งมาจิตตกตอนนี้” ฉีต้าจงเริ่มปีนไปที่รังนกสีดำ

เมื่อมาถึงข้างบนรังนัก พวกเขารู้สึกถึงกลิ่นเลือดลอยตลบอบอวลเต็มไปหมด ตามขอบของรังนกมีสีแดงออกดำ แสดงให้เห็นว่าที่ตรงนี้เป็นสถานที่กินอาหารของอินทรีพวกนี้อย่างแน่นอน คาดว่ารอยพวกนี้น่าจะเกิดจากการปนเปื้อนของรอยเลือดจากสัตว์ร้ายมากมาย ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูเลวร้ายอย่างลึกล้ำ

“เจ้าพวกนกป่าเถื่อนนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่”

“มาดูนี่ ไข่นกเต็มไปหมดเลย”

เด็กๆหลายคนร้องออกมาอย่างชะล่าใจ ที่เห็นไข่ของสัตว์ร้ายพวกนี้

“ยอดเยี่ยม รีบเอาไข่พวกนี้กลับหมู่บ้านกันเถอะ ในอนาคตพวกเราจะมีนกอสูรช่วยล่าเหยื่อกับขนของแล้ว” ไป่หัวตะโกนออกมาเสียงดัง

ภายในรังนั้นเต็มไปด้วยหญ้านุ่มๆสีทองอร่าม ดูนุ่มสบายยิ่งและยังมีไข่ที่เปล่งประกายดั่งอัญมณีแถมยังกระจ่างใสราวกับมองทะลุได้ถูกวางอย่างนุ่มนวลเต็มพื้นไปหมด ไข่ของอินทรีเกล็ดเขียวมีลักษณะเหมือนมีน้ำขังอยู่ข้างใน ภายในความมันวาวนั่นมีแสงสีเขียวส่องประกายออกมาสะท้อนกับเสียงแดดทำให้ดูน่าหลงใหลเสียจริง