ท่ามกลางห้องโถงอันใหญ่โตอันเงียบสงบ หลังจากที่ซูหยี่ได้นำพาเยี่ยจงมาถึง หลังจากที่ได้แสดงเจตนาให้เยี่ยจงโค้งกายคำนับ ก็ยืนมือไพร่หลังอยู่ท่ามกลางห้องโถงใหญ่โดยที่ไม่ส่งเสียงใดๆ

 

เยี่ยจงหรี่ดวงตามองดู เขาก็ไม่ได้กล่าวอันใดให้มากความ และจากนั้นก็ได้โค้งกายคำนับ สายตาจดจ้องไปจนถึงบุคคลที่มีร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เขารู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดอย่างมาก กับบุคคลที่ใหญ่โตท่านนี้ว่ามีขุมกำลังเพียงใดในลัทธิแห่งดวงดาว ต้องการอันใดก็สามารถที่จะได้มาอย่างง่ายดาย และเขาผู้นี้ในตอนนี้ก็มีพลังฝีมือถึงขั้นก่อฟ้าแล้ว สมควรที่จะเป็นยอดฝีมือที่ยืนอยู่ชั้นแนวหน้าของรัฐต้าโจวหวังเฉาแล้ว แต่ก็ไม่ทราบว่าบุคคลใหญ่โตเช่นนี้ เหตุใดถึงได้เรียกตนเองมาพบกัน อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่ตนเองกระทำสะเทือนฟ้าและความไม่กลัวฟ้ากลัวดินเช่นนั้นหรือ ?

 

เวลาผ่านพ้นไปวินาทีแล้วนาทีเล่า หลังจากที่เวลาได้ล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วยาม บุคคลใหญ่โตที่ยืนมองฝ่าผนังอยู่นั้นก็ได้ค่อยๆถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ได้ค่อยๆหันกายกลับมา

 

ในขณะที่เขาหันกายมา นัยน์ที่เต็มไปด้วยประกายสีทอสาดประกายเข้ามาสายหนึ่ง ทำให้ผู้คนมิอาจที่จะยืนสบตาได้

 

“ ศิษย์ซูหยี่ ขอเข้าพบท่านเจ้าตำหนัก “ พบว่าคนผู้นี้หันกายมา ซูหยี่ก็ทำมือคารวะแล้วกล่าวอย่างเร่งร้อน จากนั้นนางก็กวาดสายตาไปทางเยี่ยจง

 

“ ศิษย์เยี่ยจง ขอเข้าพบท่านเจ้าตำหนัก “ เยี่ยจงก็เลียนแบบลักษณะท่าทางทำมือคารวะบุคคลผู้นี้ กล่าวออกมาด้วยเสียงทุ่มต่ำ

 

“ เหอะ หยี่เอ่อ เจ้ากลับมาแล้วหรือ ? จากที่ได้ฟังข่าวที่ได้ส่งมาจากตำหนักภารกิจมา ดูเหมือนเจ้าจะปฏิบัติภารกิจระดับสูงของอารามก่อฟ้าสำเร็จใช่หรือไม่ ? ไม่เลว นี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่สามารถหน้าเป็นตาของตำหนักกองทัพของพวกเราได้ พรุ่งนี้เจ้าก็ไปที่ตำหนักทักษะยุทธ์ชั้นสามคราหนึ่งละกัน “ ชายวัยกลางคนหลังจากที่มองดูซูหยี่แล้ว จากนั้นก็เอ่ยปากกล่าวออกมาด้วยคำพูดเยินยออยู่หลายส่วน

 

แต่ว่าถึงแม้เขาจะเอ่ยมาเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เยี่ยจงต้องลังเลอยู่ชั่วครู่ หลังจากที่ตนเองได้มอบคัมภีร์ยุทธ์ล้างไขกระดูกก่อฟ้าให้แก่สาขาหลักไว้คัดลอกอีกชุดหนึ่งแล้ว ถึงค่อยได้รับโอกาสนี้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้เพียงเอ่ยปากคราเดียว ก็สามารถที่จะสั่งการสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ ดูเหมือนว่าขุมกำลังของลัทธิแห่งดวงดาวที่เขาอยู่นี้ จะมีมากมายเกินกว่าที่ตนเองจะคาดเดาเอาไว้มากแล้ว

 

“ ซูหยี่ขอบคุณท่านเจ้าตำหนัก “ บนใบหน้าของซูหยี่เต็มไปด้วยความสุข สามารถที่จะเข้าไปยังตำหนักยุทธ์ชั้นสามซักครา ในเวลาเดียวกันก็บ่งบอกว่าตนเองถูกทางสาขาหลักให้ความสำคัญ ถึงแม้ว่า สถานที่แห่งนั้นจะมิใช่ที่ที่ศิษย์สายในก็สามารถเข้าไปได้ตามอำเภอใจ

 

“ เจ้าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าสมควรที่จะได้รับแล้ว “ หลังจากที่ยิ้มออกมาอย่างไม่ใส่ใจ บุคคลผู้นี้ก็โบกมือไปมา

 

เมื่อพบเห็นการกระทำของเขา ซูหยี่ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางก็มีปฏิกิริยากลับมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้น ก็คารวะถอยกายลงไปอย่างรวดเร็ว

 

หลังจากที่เห็นการกระทำของซูหยี่ เยี่ยจงก็ขมวดคิ้วไปมา ทว่าหลังจากที่เกิดการลังเลขึ้นเขาก็มิได้ถอยลงไปแต่อย่างไร เพียงแต่แค่สงบนิ่งมองไปทางด้านชายวัยกลางคน เยี่ยจงไม่เชื่อว่า เขาจะเข้ามาลงมือจัดการกับตนเอง ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไรก็มิใช่สมควรที่จะจากไปในเวลานี้

 

การจ้องมองมาของชายวัยกลางคน กระทั่งเมื่อได้บรรจบอยู่บนร่างของเยี่ยจง เพียงแต่ว่า กับสายตาที่มองดูซูหยี่นั้นก็ไม่เหมือนกัน รสชาติของการถูกจ้องมองในครั้งนี้ของเขาให้ความรู้สึกที่ประหลาด ในสายตาของเขานั้น เยี่ยจงรู้สึกราวกับว่าตนเองถูกมองออกก็มิปาน

 

ถึงจะเป็นเพียงการคาดเดา เยี่ยจงก็ลังเลที่จะเงยศีรษะขึ้นมา จดจ้องไปที่ร่างของบุคคลด้านหน้า ไม่มีแม้แต่การอ่อนข้อและเอาแต่จดจ้องเขา

 

“ เหอะ “

 

หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็ได้หัวเราะเสียงเบาออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มที่จะมองดูโดยรอบ

 

“ เจ้าทราบหรือไม่ นับตั้งแต่เริ่มต้น ข้าได้ยินผู้คนเบื้องล่างกล่าวมา ในเวลานั้นได้มีบุคคลที่กระทำเรื่องราวอย่างหนึ่งออกมาภายในจวนท่านเจ้าเมืองในเมืองเจียงโจว  มีอยู่หลายส่วนเลยที่ทำให้ข้ารู้สึกทึ่ง คิดไม่ถึงว่าภายในรัฐต้าโจวหวังเจาแห่งนี้ นอกเสียจากข้าแล้ว กลับยังมีคนที่มีความกล้าหาญกระทำเรื่องไม่กลัวฟ้าอายดินเช่นนั้นได้ “ ชายวัยกลางคนมองไปที่เยี่ยจง ใบหน้าปกคลุมไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น “ เด็กน้อย เจ้าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าตำหนักเช่นข้าซาบซึ้งในตัวเจ้ามาก “

 

“ ศิษย์เยี่ยจง ขอขอบคุณท่านเจ้าตำหนัก “ เยี่ยจงหลังจากเงียบงัน นัยน์ตาก็ทอประกายคราหนึ่ง และจากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยความยินดี

 

“ เจ้าตำหนักเช่นข้ามีนามว่าเฮ้อตง มีหน้าที่ดูแลตำหนักกองทัพของลัทธิแห่งดวงดาว “ เฮ้อตงกล่าวออกมาด้วยเสียงดังกังวาน “ เจ้าตำหนักเช่นข้าที่เรียกเจ้ามาหาก่อนหน้า ก็เพื่อที่คิดจะดูว่า เด็กน้อยเจ้าผู้นี้ ที่แท้มีความอาจหาญตามที่เล่าลือกันมาหรือไม่ แต่ว่ากล่าวกันตามตรง เพียงแค่เรื่องราวที่เกิดขั้นที่อารามก่อฟ้า เมื่อครู่หากว่าเจ้าตำหนักเช่นข้ามิใช่ให้เฉินหวินออกหน้าแล้วละก็ เจ้าเตรียมตัวที่จะลงมือต่อกรกับฉาหยี่ด้วยตนเองใช่หรือไม่ ? เจ้าตำหนักเช่นข้าคิดไว้ว่า บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่ต้องการที่จะหาที่ตาย ดังนั้น ในตอนที่เตรียมพร้อมที่จะลงมือ เด็กน้อยเจ้าคิดว่ามีความสำเร็จแค่ไหนกัน ? เช่นน่าสนใจยิ่งนัก “

 

เป็นครั้งแรกเลย ที่เยี่ยจงรู้สึกหราวเหน็บไปจนถึงกระดูกเช่นนี้ เฮ้อตงผู้นี้และผู้อาวุโสทั้งสองคนที่เขาพบเจอก่อนหน้ามีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน กับเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยตระกูลซูแล้ว ยิ่งเปรียบเทียบไม่ได้ราวฟ้ากับดิน สายตาที่ทอประกายเผ็ดร้อนของเขา คาดว่าคงมองออกถึงความสำคัญของปัญหาในตอนนี้แล้ว

 

“ แต่ว่า เจ้าทว่าเป็นเพียงแค่เด็กน้อยที่มีพลังฝีมือในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เท่านั้น……. เพียงแค่เด็กน้อยที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ อีกทั้ง เจ้าสมควรที่จะได้รับโอกาสท่ามกลางภายในอารามก่อฟ้าสินะ ถึงได้มาถึงพลังในขั้นนี้ได้ ? ความจริง เจ้ามีเพียงแค่พลังฝีมือขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเท่านั้นเองมิใช่หรือ ? “ เฮ้อตงปัดฝุ่นที่อยู่บนนิ้วของตนเอง แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่มีเลศนัยไร้ทีเปรียบ “ เด็กน้อยที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สามผู้หนึ่ง ก็สามารถที่จะจัดการผู้คนหนึ่งกระบี่หนึ่งคนร้อยคนภายในร้อยก้าว ใช้กระบี่สังหารยอดฝีมือตระกูลซู สุดท้ายก็หายไปในอากาศ เด็กน้อยผู้นี้ก็เช่นกัน เมื่อพบเจอเหรี่ยโหยวฮู่ของตระกูลเหรี่ยแห่งรัญเหรี่ยเทียนหวังเฉา เจ้าเด็กน้อยตระกูลม่อแห่งเขาชิงซาน แค่นี้ยังไม่เท่าไหร่ สุดท้ายในช่วงเวลาที่แย่งชิงคัมภีร์ กระทั่งสามารถลงมือสังหารม่อฝานหลงที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่หก ……. และเมื่อมาถึงสำนัก เจ้าก็เตรียมตัวที่จะลงมือต่อหนึ่งในผู้อาวุโสสาขานอกอีก …….. “

 

“ เด็กน้อย บอกตามความจริงมา  ความสำเร็จอันมหาศาลเหล่านี้ของเจ้า ต่อให้เป็นเจ้าตำหนักเช่นข้าเมื่อในตอนที่อายุเท่ากับเจ้า

 

สีหน้าของเยี่ยจงในตอนนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าภายในจิตใจกลับราวกับกำลังถูกตรวจสอบอย่างที่สุด เฮ้อตงผู้นี้ อีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็สามารถมองออกถึงความลับที่อยู่ในใจของตนเองได้ บุคคลเช่นนี้ เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด

 

จากนั้นก็ได้ค่อยๆที่จะถอนหายออกมาคำหนึ่ง เยี่ยจงค่อยกลับมาจดจ้องที่เฮ้อตง และจากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง กระบี่คงหมิงก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางฝ่ามือ จากนั้นเยี่ยจงก็ยื่นไปให้แล้วกล่าว “ ท่านเจ้าตำหนัก เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่จวนท่านเจ้าเมือง ก็ได้แต่พึ่งพาโชคช่วย และเรื่องที่เกิดขึ้นภายในอารามก่อฟ้า ก็ได้พึ่งพาเจ้าสิ่งนี้แล้ว “

 

“ ชึบ “

“唰——”

เฮ้อตงยื่นมือออกไป ในตอนที่นำกระบี่คงหมิงออกมา ก็ได้มาวางไว้บนฝ่ามือของเขา

 

“ เช่ง “

 

ในตอนที่เฮ้อตงยื่นมือมา บนตัวกระบี่ก็ได้สั่นเทาร่ำร้องเสียงอือฮือคราหนึ่งออกมา ราวกับว่าตัวกระบี่กำลังจะพึ่งขึ้นนภาออกไปอย่างไร้ที่เปรียบ ราวกับสมบัติที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร

 

“ กระบี่ที่ดี

 

ถึงแม้จะเป็นสายตาอันคมกล้าของเฮ้อตง ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมขึ้นมา ราวกับศาสตราวุธของกองทหารเทพเซียน ต่อให้เป็นลัทธิดวงดาวก็มิอาจมีเพียงไม่กี่ชิ้น

 

“ พึ่งพาเพียงเจ้าศาสตราวุธระดับสูงเพียงเล่มเดียวนี้หรือ เจ้าถือได้ว่ามีไพ่ตายที่ไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่า นี้คงมิใช่ทั้งหมดที่เจ้ามีสินะ ? “ จากนั้นเฮ้อตงกล่าวด้วยท่าทางที่ล้อเล่น จากนั้นก็นำกระบี่คงหมิงคืนให้แก่เยี่ยจง ค่อยกล่าวออกมาต่อ “ ทว่า ทุกผู้คนต่างก็มีความลับเป็นของตนเอง ในเมื่อเจ้าก็ไม่ยินยอมที่จะกล่าวออกมา ข้าก็มิอาจฝืนใจเจ้าได้ เช่นนั้น ที่ข้าให้เจ้ามายังลัทธิแห่งดวงดาว ก็เพียงเพราะเพื่อความลับที่อยู่กับเจ้านั้นแหลาะ “

 

“ เมื่อปีก่อนท่านพี่จงเทียนได้มีโอกาสพบเจอข้าคราหนึ่ง ข้าก็ถือได้ว่าติดค้างหนี้ไมตรีจากเขาคราหนึ่ง ดังนั้น ในครานี้ที่ข้าออกหน้าเพื่อเจ้านั้น เจ้าก็มิต้องขอบคุณข้า นับตั้งแต่จากนี้ เจ้าก็เป็นศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวของข้า แต่ว่าจะรักษาคงสถานะเอาไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องพึ่งพาความรู้ความสามารถของเจ้าเองแล้ว แน่นอนว่า หากเจ้ามีความสนใจที่จะทำงานให้ตำหนักกองทัพแล้วละก็ ข้าจะเป็นที่พึ่งให้แก่เจ้าจะเป็นไรไป ? “ เฮ้อตงกล่าวออกมา จากนั้นก็หัวเราะฮาฮาออกมาคราหนึ่ง ความหมายในคำพูดของเขาก็คือขอให้เยี่ยจงวางไว้หายห่วงได้

 

หลังจากเมื่อได้ทราบเรื่องราวจากเยี่ยจงไปแล้ว การที่เขาชี้นำเยี่ยจงมายังลัทธิแห่งดวงดาว ทั้งยังให้สถานะอย่างหนึ่งแก่เยี่ยจง นอกจากจะให้ความสำคัญแก่เขาแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งนอกเหนือจากนั้น ก็เป็นการยื่นไมตรีมิตรภาพคืนแต่เพียงเท่านี้

 

หลังจากที่ยื่นไมตรีคืนแล้ว เขาและเยี่ยจงก็จะไม่มีความสัมพันธ์อันใดต่อกันอีก และเยี่ยจงหากว่าต้องการที่จะมีผู้ที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังแล้ว ก็ต้องจ่ายออกไปด้วยราคาที่เท่าเทียมกัน อีกทั้งเกรงว่า ราคาที่ว่ามานี้ก็ต้องรวมทั้งการบอกกล่าวถึงความลับที่แท้ของตนเอง

 

เพียงแต่ว่า บุคคลเช่นเฮ้อตงกระทำการอันใดก็จะสะอาดหมดจด ทำให้เยี่ยจงสามารถเพิ่มความไว้วางใจได้ในหลายส่วน

 

ไม่นานนัก หลังจากที่ครุ่นคิดแล้วเสร็จ เยี่ยจงก็ยกมือทำท่าคารวะแล้วกล่าว “ เยี่ยจงขอขอบคุณในความเอ็นดูท่านเจ้าตำหนัก ทว่า เรื่องที่จะเข้ามาทำงานให้กับตำหนักกองทัพนั้น เกรงว่ายังต้องขอคิดดูให้ดีก่อน อีกทั้ง ข้าในตอนนี้ยังมีภารกิจ คือการฝึกปรือ ท้ายสุดแล้วข้าพึ่งจะได้เคล็ดวิชาล้างไขกระดูกก่อฟ้า “

 

“ เคล็ดล้างไขกระดูกหรือ แน่นอนว่าเป็นวิชาลมปราณที่ไม่เลวเลยทีเดียว หากว่าได้ฝึกปรือเพิ่มเติมแล้วละก็ วันข้างหน้าแน่นอนว่าต้องไม่ธรรมดา “ น้ำเสียงเฮ้อตงในตอนนี้เปลี่ยนเป็นประหลาดอยู่หลายส่วน จากนั้นเขาก็ไม่มีความสนใจที่จะกล่าวกับเยี่ยจงอีกต่อไป และจากนั้นเขาก็โบกมือเพียงเบาๆ “ ไปเถอะ “

 

“ ขอรับ “

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆโค้งคำนับ และจากนั้นก็ถอยไปโดยที่มิได้เร่งรีบแต่อย่างไร จากตำหนักกองทัพไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้จากไปจากตำหนักกองทัพแล้ว เยี่ยจงค่อยได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆคราหนึ่ง นัยน์ตาปกคลุมไปด้วยความระแวงสงสัย เฮ้อตงผู้นี้มิได้มองออกถึงความลับของตนเอง แต่ว่าวันข้างหน้าตนเองหากไม่ระวังให้มากขึ้นหลายส่วนแล้วละก็ เกรงว่าจะไม่ดีแล้ว เคล็ดกระบี่หกสุสานนี้ เกรงว่าวันข้างหน้าภายในลัทธิแห่งดวงดาว ตนเองคงมิอาจใช้โดยสุ่มสี่สุ่มห้าได้แล้ว ยังดีที่ตนเองยังมีเคล็ดวิชาลมปราณล้างไขกระดูกก่อฟ้าอยู่

 

ส่วนในของตำหนักกองทัพ เฮ้อตงที่นั่งอยู่ด้านบนที่นั่งเจ้าตำหนัก บนใบหน้าปกคลุมไปด้วยความคิดคำนึงอย่างลึกซึ้ง

 

“ ถึงกับยังต้องฝึกปรือเคล็ดลมปราณล้างไขกระดูกก่อฟ้า หรือข้าอาจจะคาดเดาผิดพลาดไป ……. เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ความจริงแล้วมิได้ครอบครองเคล็ดวิชาลมปราณที่สามารถพลิกฟ้าได้อันใด ? ทว่า เคล็ดลมปราณล้างไขกระดูกก่อฟ้าก็ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า อา……. “ เฮ้อตงบ่นพึมพำออกมา และจากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง สมุดทองในตำนานเคล็ดวิชาล้างไขกระดูกก่อฟ้า ก็ปรากฏขึ้นมาบริเวณใจกลางฝ่ามือของเขา

.

.

.

.