ท่ามกลางสนามบนเขาดารา ตอนนี้มีการรวมตัวของสายตามากมายที่มองมาที่บริเวณใจกลางของสนาม นัยน์ตาของผู้คนไม่น้อยที่กำลังทอประกายออกมา

 

“ เชอะ นั้นมิใช่ยอดฝีมือหนึ่งในสิบของสายนอกหรอกหรือ ที่อยู่อันดับเก้าฉู่หวินมิใช่หรือ ? เหตุใดเขาถึงได้ออกมาหาเรื่องอีกกัน ? “

 

“ นั้นเป็นศิษย์พี่หญิงซูหยี่ใช่หรือไม่ ? ฉู่หวินยังคงไล่ตามศิษย์พี่หญิงซูหยี่อย่างไม่ลดละเลยจริงๆ ตอนนี้ดูเหมือนที่ข้างกายศิษย์พี่ซูหยี่จะมีชายอีกคนหนึ่ง เกรงว่ายากที่จะยอมรับได้ ? “

 

“ ทว่าชายผู้นั้นเป็น มิใช่เจ้าขยะเยี่ยจงของห้าตระกูลใหญ่แห่งรัฐต้าโจวหวังเฉาหรอกหรือ ? เหตุใดเขาถึงได้มาปรากฏตัวที่ลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเรากัน ? “

 

“ ไม่เพียงแต่ปรากฏตัว ดูเหมือนว่าจะมีป้ายสะสมวิญญาณที่เป็นของศิษย์สายในอยู่ในด้วย “

 

“ เจ้าขยะยังสามารถเป็นถึงศิษย์สายในได้ ลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเราเป็นอะไรกันไปแล้ว “

 

“……”

 

เสียงได้ยินเพียงเล็กน้อย ทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้านก็กลับมาคึกครืนอีกครา เห็นได้ชัดว่า มีผู้คนไม่น้อยที่ตอนนี้ให้ความสนใจกับการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังให้ความสนใจในระดับที่สูง

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังออกจากทั่วทั้งสี่ทิศ ทว่าเยี่ยจงก็มิได้ให้ความสนใจแต่อย่างไร เขาเพียงแต่จดจ้องไปที่ฉู่หวินอย่างดุดันที่แสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมาหลายส่วน ทันใดนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง กล่าวออกมาดังกังวาน “ เห็นแก่หน้าศิษย์พี่หญิงซูหยี่ วันนี้ข้าจะไม่สังหารเจ้า ตบปากตนเองร้อยครั้ง จากนั้นก็ไสหัวไปซะ “

 

เสียงที่ดังกังวานออกมา ตอนนี้ทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยความเร้าร้อน จนทำให้ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวไม่น้อยที่แต่ละคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ต้องเกิดอาการวอกแวกครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็จดจ้องไปทางด้านของเยี่ยจง เปลี่ยนเป็นให้ความสนใจอย่างไร้ที่เปรียบ

 

เยี่ยจงผู้นี้ที่แม้ไม่ทราบหรืออย่างไร คำพูดที่เขากล่าวออกมานั้น เวลาเช่นนี้ยังสามารถกล่าวออกมาโดยไม่ไว้หน้ากัน เมื่อคำกล่าวของเขาถูกปล่อยออกมา กับชื่อเสียงเรียงนามของฉู่หวิน เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขกลับคืนได้แล้ว ?

 

การเป็นถึงลำดับเก้าในสิบของยอดฝีมือสายนอก มิอาจเรียกได้ว่าเป็นบุคคลธรรมดาได้

 

และซูหยี่ในตอนนี้ก็ได้แต่เพียงยิ้มด้วยใบหน้าที่ขมขื่นออกมา และจากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปหมายจะช่วยเหลือ ความรู้สึกอดทนอดกลั้นติดอยู่ในใบหน้า

 

นอกเสียจากในตอนนี้ที่มีการจดจ้องของศิษย์ภายในลัทธิท่ามกลางสนามแห่งนี้ มีเพียงแค่ซูหยี่คนเดียวที่เข้าใจ เมื่อเยี่ยจงกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ยังถือได้ว่าได้ไว้หน้าแก่นางแล้ว หากมิใช่เพราะว่าตนเองเริ่มต้นกล่าวออกมาแล้วละก็ ซูหยี่ก็จะไม่สงสัยเลยว่าฉู่หวินผู้นี้ในตอนนี้หากไม่ตายแล้วละก็ ก็คงได้พิการเป็นที่แน่นอน

 

ใบหน้าของฉู่หวินฉาบไปด้วยรอยยิ้ม และในเวลาทันใดนั้นเอง เขาก็เหมือนกับมีความอารมณ์ที่ไม่ปกติปรากฏขึ้นมาให้เห็น หลังจากที่ตัดสินรูปลักษณ์ภายนอกของเยี่ยจงแล้ว ก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าว “ ดูเหมือนว่าพระอาทิตย์คงจะขึ้นทางด้านตะวันตกแล้วละ เจ้าขยะเยี่ยจงยังอาจหาญข่มขู่ข้า ไม่รู้จักคุณค่าของการมีชีวิตซะแล้ว เช่นนั้นข้าจะส่งเจ้าไปเอง “

 

หลังจากที่สิ้นเสียง ฉู่หวินก็กระทึบเท้าคราหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งไปยังบริเวณที่เยี่ยจงอยู่เข้าไป เขาใช้ออกด้วยพลังฝ่ามือ พลังสีเงินสายหนึ่งทอประกายแวววับ และจากนั้นฝ่ามือของเขาก็มุ่งตรงเข้าไปยังบริเวณคอหอยหมายหักคอของเยี่ยจง ทันใดนั้น ร่างของฉู่หวินก็เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟัน

 

สีหน้าของเยี่ยจงแสดงถึงความเย็นเยียบ นัยน์ตาเต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันสายหนึ่ง ฉู่หวินผู้นี้มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ความจริงทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีบุญคุณความแค้นอันใดต่อกัน ตนเองคงสั่งสอนเขาสักคราก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แต่ว่าเจ้าเด็กน้อยผู้นี้หนังหน้าหนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องการที่จะลงมือสังหารตนเอง ถ้าหากมิใช่ว่าตนเองมีพลังฝีมืออยู่หลายส่วนแล้วละก็ วันนี้คงต้องสิ้นชื่อและหมดลมหายใจในสถานที่เช่นนี้แล้ว ?

 

เมื่อคิดคำนวณเสร็จแล้ว เยี่ยจงก็ไม่กล่าวอันใดให้มากความอีกต่อไป และเพียงแต่เข้าหาฉู่หวินที่กำลังจะสังหารตนเองในทันที เขาเมื่อก้าวเท้าผิดไปหนึ่งก้าว ร่างกายก็ต้องถอยออกไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็ปัดกระบวนท่าสังหารนี้ของฉู่หวินออกไป เยี่ยจงเพียงใช้มือข้างเดียวในการตอบโต้ ทำให้ฉู่หวินต้องลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง

 

การประลองของทั้งสองกล่าวได้ว่ารวดเร็วดังการจุดไฟที่เกิดจะการกระทบของหิน ทั่วทั้งสี่ด้านมีศิษย์ของลัทธิอยู่ไม่น้อยที่ความจริงเห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอันใดขึ้น เพียงแต่ว่าก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่มีความสามารถมองออก ในช่วงเวลานั้นนัยน์ตาก็เต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

 

เยี่ยจงผู้นี้ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว

 

“ พวกเราไปตำหนักโอสถกัน “ หลังจากที่ลงมือหนึ่งกระบวนท่า เยี่ยจงก็ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไปมองดูฉูหวินแม้เพียงหางตา และกล่าวเสียงดังกังวาน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่บริเวณของตำหนักโอสถ

 

ซูหยี่ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง แม้ว่าจะมิได้ติดตามไป เรื่องราวดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้คงมิใช่เวลาที่จะไปแลกเปลี่ยนโอสถกันหรอกนะ ?

 

และมีคนที่เป็นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวไม่น้อยที่มองไปไม่ออกว่าเกิดอันใดขึ้นตอนนี้ก็ได้แต่เพียงเงียบงันต่อไป แต่ละคนก็แสดงออกถึงความแปลกใจ เยี่จงผู้นี้มิใช่บ้าไปแล้วหรือไร ? ในเวลานี้ยังจะต้องการที่จะไปตำหนักโอสถอีกหรือ ? ต่อให้ต้องการที่จะไป ฉู่หวินสามารถที่จะให้ไปอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรือ ?

 

“ ปุ ชิ้ง “

 

ในช่วงที่ผู้คนทั้งหมดกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้นเอง เพียงกระบวนท่าเดียวที่ใช้ออกไป ก็สามารถที่จะจัดการกับยอดฝีมือเยี่ยงฉู่หวินได้จนทำให้ร่างกายต้องสั่นเทาคราหนึ่ง และจากนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด กระอักเลือดสดๆออกมาคำหนึ่ง เลือดสดๆที่ออกมานั้นมีส่วนหนึ่งที่มีกลิ่นของเลือดเนื้ออยู่ เห็นได้ชัดว่า เขาในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส

 

“ อะไรกัน ? “

 

“ เป็นไปได้อย่างไร ? “

 

“ กระทั่งฉูหวินก็ยังพ่ายภายในกระบวนท่าเดียว ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ? “

 

“ เมื่อครู่ที่แท้เกิดเรื่องอันใดกัน ? “

 

หลังจากนั้นศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวทั่วทั้งสี่ด้านเหล่านี้ แต่ละคนต่างก็ไร้เสียงที่จะกล่าวออกมา ท่ามกลางกลุ่มคนมากมายของพวกเขาต่างก็มองไม่ออกว่าที่แท้เกิดอันใดขึ้นกัน ในช่วงที่เกิดเรื่องขึ้นมีเพียงแสงไฟกระพริบไปมาอยู่หลายครา มีผู้คนไม่น้อยท่ามกลางพวกเขาต่างก็คิดว่า นี้คงจะเป็นดั่งการแสดงฉากหนึ่งของการต่อสู้ระหว่างมังกรและเสือเท่านั้น แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะจบลงเพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น จนทำให้ฉู่หวินผู้นี้ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเช่นนี้

 

มีเพียงศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวส่วนหนึ่งที่มีพลังฝึกปรือในระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่เช่นเดียวกัน นัยน์ตาในตอนนี้ปกคลุมไปด้วยความตื่นตะลึง เยี่ยจงผู้นี้มีความแข็งแกร่งที่มากมายเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้ได้ กระบวนท่าของเขา บุคคลอย่างฉู่หวินที่อยู่ในอันดับเก้าของสิบยอดฝีมือของศิษย์สายนอกยังมิใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควร เช่นนั้นพวกเขาที่ไม่อาจแม้กระทั่งจัดอยู่หนึ่งในสิบยอดฝีมือ คาดว่าคงมีแต่จะถูกสังหารภายในเสี้ยววินาที

 

ไม่แปลกใจเลยที่เยี่ยจงจะมีป้ายสะสมวิญญาณที่เป็นของศิษย์สายใน ขยะเยี่ยจงผู้นี้ตามที่เล่าลือกัน ความจริงแล้วช่างร้ายกาจเกินกว่าจะคาดเดาได้

 

“ เยี่ยจง……. “

 

ฉู่หวินที่ในตอนนี้ทั้งใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ เขาใช้พลังชีวิตที่เหลือหันศีรษะกลับมา ในช่วงที่จ้องมองไปทางด้านเยี่ยจง ท่ามกลางนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความกลัวปรากฏขึ้นพร้อมกัน

 

“ เจ้ากล้าลงมือหมายเอาชีวิตข้า เจ้าต้องตายอย่างแน่นอน “

 

รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้น ฉู่หวินพลิกมือคราหนึ่ง ในมือก็ปรากฏป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา และจากนั้นก็พบว่าสีหน้าที่แสดงถึงความชั่วร้ายบีบไปที่ป้ายหยกชิ้นนั้น

 

เมื่อเห็นการกระทำของฉู่หวินแล้ว นัยน์ตาของซูหยี่ก็ทอประกายสายหนึ่ง จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง และก็นำป้ายหยกออกมาชิ้นหนึ่ง บีบลงไปในทันที

 

เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาวันนี้ ได้เปลี่ยนแปลงเป็นใหญ่โตขึ้นแล้ว

 

“ ปุ ชิ้ง “

 

หลังจากที่บีบไปที่ป้ายหยก ร่างกายของฉู่หวินสั่นเทาคราหนึ่ง กระอักเลือดออกมาอีกหนึ่งคำ สีหน้าที่ปั้นยากปรากฏออกมาให้เห็น ตอนนี้เขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน กระบวนท่าที่เยี่ยจงใช้ออกเมื่อครู่ พอดิบพอดีจี้ไปยังจุดไหลเวียนของหัวใจ(ซิงม่าย) หากมิใช่เขาฝึกปรือพลังจนแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้วละก็ ไม่แน่ว่าในตอนนี้คงต้องเสียชีวิตไปแล้ว

 

นิสัยของฉู่หวินแม้จะเป็นเช่นนี้ ภายในใจในตอนนี้กลับปรากฏถึงความผิดหวังสายหนึ่งและความกลัวขึ้นมา

 

“ เป็นผู้ใด ผู้ใดกล้าลงมือทำร้ายศิษย์รักของข้าผู้เฒ่าจนบาดเจ็บในลัทธิแห่งดวงดาว “

 

“ ศิษย์รักที่เชื่อฟัง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ ? “

 

จนกระทั่งเยี่ยจงขมวดคิ้วขึ้นมา และจากนั้นก็มองไปยังบริเวณทางด้านหน้า ก็พบว่าที่ทางด้านหน้า มีเงาร่างจากแสงที่เหินบินมาอย่างรวดเร็วเข้ามา และจากนั้นก็มีเสียงระเบิดได้ยินไปทั่วทั้งสนาม และในช่วงเวลาที่เขาก็ได้มองไปยังร่างของฉู่หวิน สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทันที

 

คนผู้นี้สวมชุดฝึกยุทธ์สีเทา เป็นชายชราเส้นผมบนศีรษะขาวโพลน ใบหน้ากลมกลิ้งและร่างอ้วนฉุของเขา มีสองมือหนาเตอะ ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่านัยน์ตาของเขาก็ยังคมกล้าราวอินทรี

 

ทว่าในทันทีที่มองเห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้นของฉู่หวิน ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา และจากนั้นก็พลิกมือคราหนึ่ง แล้วก็นำโอสถยัดใส่ภายในปากของฉู่หวินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ยื่นมืออกมาตบไปบนร่างของฉู่หวินอยู่หลายครา กำลังภายในของฉู่หวินก็ได้ไหลเวียนขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา และจากนั้นก็มีเลือดสดๆไหลออกมาบริเวณมุมปากของเขา ถึงได้หยุดลง

 

หลังจากที่เคลื่อนจนแล้วเสร็จเรียบร้อย ชายชราที่ดุร้ายก็หันศีรษะกลับมา จ้องมองไปยังร่างของเยี่ยจง จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาแล้วกล่าวออกมา “ เด็กน้อย เป็นเจ้าที่ลงมือต่อหวินเอ่อ(ลูกหวิน)ใช่หรือไม่ ? “

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วไปมา ทว่าเขาก็มิได้อธิบายเพื่อแก้ตัวแต่อย่างไร เพียงแต่กล่าวออกมาคำหนึ่ง “ แล้วจะเป็นไร ? “

 

“ เหอะ เหอะ เหอะ  แล้วจะเป็นไรที่ดีคำหนึ่ง อายุอานามยังน้อย ทว่ากลับลงมือได้อย่างเลือดเย็น ในตอนที่ลงมือก็ทำลายจุดซิงม่ายของผู้อื่น วันนี้ข้าผู้เฒ่าจะลงมือจัดการกับเด็กน้อยเจ้าที่ลงมืออย่างเลือดเย็นให้พิการทั้งสี่ส่วน ค่อยให้จ้าวตำหนักแก่ข้าผู้เฒ่าผู้นี้สักข้อ “ ชายชรายิ้มออกมาอย่างดุร้าย เขาก็คร้านที่จะเอ่ยถามผิดชอบชั่วดีเป็นอย่างไร และก็จดจ้องไปทางเยี่ยจง นัยน์ตาปรากฏความแค้นเคืองออกมา ศิษย์ผู้นี้เป็นเขาเลี้ยงดูมาด้วยจิตใจและเลือดเนื้อ เป็นถึงความภาคภูมิใจที่ได้รับมาของสำนักนี้ก็ว่าได้ แต่ว่าศิษย์รักของตนเองในวันนี้กลับถูกผู้คนทำร้ายที่จุดซิงม่าย ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลาฟื้นฟูยาวนานเพียงไร เพียงแค่เรื่องนี้ก็เกรงว่าไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องมิอาจปล่อยผ่านเลยไปดังลมหายใจไปได้

 

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างดุร้าย ชายชราก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นบนร่างกายก็แผ่พุ่งแรงกดดันขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นแรงกดดันชนิดที่เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวเหลือคณา และเข้าประทับไปที่ร่างของเยี่ยจงในทันที

 

พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ด ชุ่ยสุ่ยชิ (ดับไขกระดูก)

 

เมื่อมองดูชายชราที่อ้วนฉุไร้ที่เปรียบผู้นี้แล้ว ถึงกับมีพลังฝีมือได้ถึงขั้นนี้ หากต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาที่ดีเยี่ยม คนเช่นนี้จึงจะสามารถบรรลุได้ถึงขั้นก่อฟ้าก็เป็นได้

 

พลังฝีมือเช่นนี้ ภายในลัทธิแห่งดวงดาว แน่นอนว่าต้องเป็นบุคคลระดับผู้อาวุโสขึ้นไปแล้ว

 

และในตอนที่บุคคลเช่นนี้เมื่อลงมือ ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวแต่ละคนทั่วทั้งสี่ทิศก็ต้องเปลี่ยนสีทันที บนใบหน้าปรากฏไปด้วยความเหยียดหยามออกมา แม้ว่าในสถานะของพวกเขาจะไม่อาจที่จะกล่าวอันใด แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นพวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก และผู้อาวุโสท่านนี้กลับไม่ถามถึงใครผิดใครถูกก็จะทำร้ายศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาวผู้หนึ่งจนพิการ เพียงข้อนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเหยียดหยามได้ถึงสิบส่วน

 

เยี่ยจงก็ทราบว่า ในตอนนี้กล่าวคำพูดไร้สาระออกไปก็ไม่ช่วยอันใด เขาเพียงแต่ถอนหายใจออกมาคำหนึ่งเบาๆ เผชิญหน้ามองดูและสำรวจไปที่ใบหน้าที่อ้วนกลมของชายชรา ท่ามกลางพลังฝ่ามือ พลังประบี่ตราประทับถูกใช้ออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เยี่ยจงก็ไม่คิดที่จะข้อร้องหรือว่ามีความคิดที่จะถอยหนีแต่อย่างไร เขาเพียงแค่ต้องการที่จะทดสอบดูว่า ชายชราเพียงผู้หนึ่งที่มีพลังฝึกปรือขั้นก่อเกิดขั้นที่เจ็ด จะมีความแข็งแกร่งได้ถึงระดับใดกัน

 

และเมื่อพบว่าเยี่ยจงแสดงเจตนาที่ไม่มีแม้แต่การเตรียมตัวที่จะถอยหนี ศิษย์ของลัทธิแห่งดวงดาวแต่ละคนทั่วทั้งสี่ทิศต่างก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที เยี่ยจงผู้นี้ หรือจะเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับแม้แต่หนึ่งในผู้อาวุโสของลัทธิเชียวหรือ ? ต่อให้เขาถึงแม้จะเป็นศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาว ก็ใช่ว่าจะสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ ?

.

.

.

.