ในยุคที่มีแต่ความรกร้างและโหดร้าย มีแต่สัตว์ร้ายออกมาอาละวาดเสมอ ชีวิตของชาวบ้านหมู่บ้านศิลาอยู่ภายใต้การคุกคามตลอดเวลา ความต้องการของพวกเขาช่างเรียบง่าย เพียงแค่ต้องการอาหารเพียงพอสำหรับท้องอันว่างเปล่าของทุกคนก็ประเสริฐแล้ว

ณ หมู่บ้านศิลา ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงครึกครื้นและสดใส บรรดาบุรุษสตรี ทั้งคนแก่และเด็กใบหน้าของพวกเขามีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า พวกเขาถูกเติมเต็มด้วยความสดชื่นรื่นเริง ในขณะที่พูดคุยและหัวเราะไปด้วยกัน

“พวกเด็กๆ อย่ามัวซน ในไม่ช้าพวกเราจะต้องไปแช่โอสถทิพย์นะ พักผ่อนให้มากๆ มันจะทำให้พวกเจ้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าสัตว์ร้ายอย่างแน่นอน ” หนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยพลางหัวเราะ
“อ๊า….ข้าไม่ต้องการ” เหล่าเด็กๆที่ได้ยินต่างลุกขึ้นด้วยความสยอง แล้วแยกย้ายกันหนีไปซ่อนที่ต่างๆภายในหมู่บ้านทันที

“เจ้าเด็กโง่พวกนี้!! ไม่รู้หรือว่านี่เป็นความโชคดีแค่ไหน มันคือยาบำรุงชั้นเลิศนะเว้ย ถ้าพวกเจ้าได้แช่โอสถทิพย์อย่างต่อเนื่อง มันจะช่วยปรับโครงร่าง ชำระเส้นเอ็นและกระดูกของพวกเจ้าอย่างมาก” พวกผู้ใหญ่ตำหนิออกมา แล้วเริ่มออกไล่จับบรรดาลูกเจี๊ยบทั้งหลาย
“แต่มันเจ็บมากนะครับ ข้าไม่อยากกลับไปแช่โอสถทิพย์ ครั้งที่แล้วข้ารู้สึกเหมือนโดนกรีดด้วยคมดาบ”

“ท่านพ่อ ปล่อยข้าไป ข้าไม่อยากถูกต้ม”

กลุ่มเด็กๆ แสดงอาการต่อต้านอย่างเต็มที่ แต่แขนเล็กๆก็ไม่อาจสู้กำลังของผู้ใหญ่ สุดท้ายก็โดนตามจับได้จนหมด

ณ พื้นที่ว่างเปล่าในบริเวณหมู่บ้าน มีหม้อทองแดงขนาดใหญ่แปดใบถูกจัดเตรียมไว้ ที่ใต้หม้อแต่ละใบมีกองไฟที่กำลังลุกโชน ของเหลวบางอย่างกำลังถูกต้มอยู่ บรรดาผู้อาวุโสต่างก็โยนสมุนไพรหลากหลายเข้าไปอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีตีนตะขาบกับขาแมงมุม ทำให้ของเหลวข้างในหม้อมีสีดำทะมึนและเข้มข้นเหมือนดั่งหมึก ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
ใบหน้าของบรรดาเด็กๆเปลี่ยนเป็นสีเขียว พวกเขาช่างอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้เหลือกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะว่าถูกจับตามองโดยเหล่าผู้ปกครอง

หลังจากนั้นไม่นาน มีชาวบ้านเดินเข้ามาพร้อมกับเหยือกขนาดใหญ่สิบเหยือก ผู้อาวุโสทั้งหลายรับมาอย่างนุ่มนวลพร้อมเปิดฝาเหยือกแล้วเทของเหลวข้างในลงไปในหม้อทองแดงอย่างระมัดระวัง ทำให้ของเหลวสีดำข้างในหม้อทองแดงเดือดพล่านยิ่งกว่าเดิม
ของเหลวที่อยู่ในเหยือกคือเลือดอันแสนหายากจากเหล่าสัตว์ร้ายที่ถูกปลิดชีพนั่นเอง ซึ่งล้ำค่าอย่างมากและเต็มไปด้วยสรรพคุณที่วิเศษ ที่จะทำให้เหล่าชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้รับประโยชน์มหาศาล เสริมสร้างประสิทธิภาพของร่างกาย ผนวกเข้ากับตำรายาเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมา และยังมีสมุนไพรอีกมากมาย ช่วยเสริมคุณสมบัติของเลือดสัตว์ร้ายได้มากกว่าเดิม
นอกเหนือจากเลือดสัตว์ร้าย เหล่าผู้อาวุโสยังใช้กระดูกของอสรพิษเวหา,กระดูกขาของปีศาจขาเดียว ตลอดจนวัตถุดิบหายากอีกมากมาย นำมาบดรวมกันให้ละเอียดแล้วโรยลงไปในของเหลวสีดำ

เมื่อกองไฟมอดดับลงไปหลังจากต้มมาระยะหนึ่ง รอจนความร้อนค่อยๆเบาลง ทันใดนั้นมีเสียง “ตู้ม ตู้ม” ผสานกับเสียงหวีดร้อง กลุ่มเด็กชุดแรกถูกจับโยนลงไปในหม้อ หม้อละสองสามคน

“จ้ากกก!! เจ็บโคตรๆ”
“โอ๊ยยย!! จะสุกแล้วๆ”
“ช่วยด้วย!! ร่างกายเจ็บเหมือนโดนมีดกรีด แถมผิวยังตึงจนเหมือนจะแตกออกซะให้ได้”

พวกเขาทั้งหมดส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดพลางกำแขนของตัวเองไว้แน่น มีหลายครั้งที่พยายามจะปีนออกมา แต่ก็ถูกถีบ?กลับลงไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องยังดังไม่รู้จบ สุดท้ายเหล่าเด็กๆก็ถูกโยนลงไปในหม้อจนหมด เด็กส่วนมากต่างกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด จะมีแค่เจ็ดแปดที่ยังอดทนจนหน้าผากชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ แต่ก็ไม่ปริปากร้องออกแม้แต่นิด
สำหรับเจ้าหนูน้อยนั้นไม่สามารถหนีได้ดั่งเช่นคนอื่น เนื่องจากมีหม้อโอสถทิพย์ที่  ฉีหยุ่นเฟิงเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ มีลักษณะเป็นหม้อสีดำแต่งจากหม้ออื่นๆ
นอกเหนือจาก ของเหลวสีดำข้นที่เจ้าหนูจะต้องน้อยลงไปแช่แล้วแล้ว อดีตหัวหน้าหมู่บ้านยังนำเอาเหยือกสองใบที่พิเศษ และเทลงไปผสมในหม้อที่เจ้าหนูน้อยกำลังแช่อยู่ ประกอบไปด้วยเลือดจาก ปี่เซี่ย และเลือดจาก แรดเพลิงสองหัว โดยเลือดจากสัตว์ร้ายทั้งสองแฝงไปอำนาจบางอย่าง ช่วยสนับสนุนพลังจากตำรากระดูกได้อย่างดี (ตรงนี้เยอะมากไม่กล้าเพิ่มเติม)

หลังจากอุณหภูมิในของเหลวสีดำค่อยๆตกลง เจ้าหนูน้อยออกอาการดิ้นรนก่อนถูกจับแล้วขว้างเข้าไปในหม้อ อาจเพราะเจ้าหนูน้อยยังเยาว์นัก เด็กน้อยจึงสำลักของเหลวสีดำขณะที่นั่งแช่อยู่ภายใน  ไม่เพียงแค่นั้นเด็กน้อยยังรู้สึกมีเสียงดังเป็นระยะในร่างของตน หลังจากเผลอดื่มของเหลวสีดำไปหลายอึก
เด็กคนอื่นแสดงสีหน้าเห็นใจในความโชคดีของเด็กน้อยออกมาทันทีที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แม้จะดื่มเข้าไปเล็กน้อย แต่โอสถทิพย์นั่นมีส่วนประกอบเป็นเลือดพิเศษ กระดูกจากสัตว์ร้าย รวมถึงกล้ามเนื้อผสมอยู่ และโอสถทิพย์จะทำให้ผิวหนังและกระดูกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เจ้าหนูน้อยช่างน่าเวทนายิ่งนัก
ผู้ใหญ่บางคนยังแทบทนทานไม่ได้ ร่างกายเด็กน้อยค่อยๆแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่เขาดิ้นทุรนทุรายด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ยิ่งได้เห็นช่วงเวลาที่เด็กน้อยกลืนของเหลวหนืด ผู้ใหญ่ที่ดูอยู่เริ่มรู้สึกวิตกกังวล
“ไม่มีปัญหาหรอก เพราะนั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ เจ้าหนูนั่นเคยทำแบบนี้มาก่อน และสามารถแช่อยู่ได้จนจบ แม้เจ้าหนูนั่นจะกลืนลงไปบ้างโดยไม่เป็นอันตราย ถ้าผ่านไปได้จะต้องได้รับประโยชน์อย่างมากแน่นอน” อดีตหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยออก เพราะเค้ารู้ถึงสภาพร่างกายของเด็กน้อยเป็นอย่างดี
“ร่างกายของเจ้าหนูแข็งแรงมาก อีกทั้งมีพลังลี้ลับจากตำรากระดูกคอยเสริมประสิทธิภาพของโอสถทิพย์ และช่วยลดทอนความเจ็บปวดที่เจ้าหนูนั่นได้รับอีกด้วย”

การแช่โอสถทิพย์ยังคงมีต่อไป จนในตอนนี้กลุ่มของเด็กๆเปียกโชกจนดูเหมือนลิงตัวสีแดง พวกเขาดูลำบากในขณะมองไปที่พรรคพวกของตัวเอง น้ำตาพลันไหนออกประกอบกับเสียงสะอึกสะอื้น เมื่อการแช่โอสถทิพย์เสร็จสิ้นพวกเขาจึงแสดงความโล่งใจออกมา

ในขณะเดียวกัน ภายในหม้อสีดำเจ้าหนูน้อยไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่ตวัดสายตามองไปรอบๆ ใบหน้าของเด็กน้อยเต็มไปด้วยสีแดง มองดูคล้ายแอปเปิ้ลลูกใหญ่ เมื่อเด็กลุกออกมาจากหม้อ มีท่าทางโอนเอนไปมาดูคล้ายคนเมามาย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” ชายแก่คนหนึ่งถามออกมา
เด็กน้อยเรอออกมาเบาๆ งึมงำตอบออกไป “ข้าอิ่มแล้ว”
พอได้ยินคำตอบซื่อๆประกอบกับท่าทางไร้เดียงสา ทำให้บรรดาผู้ใหญ่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่น
“เหนื่อย” เด็กน้อยเดินโซเซไปมา แล้วร่างเล็กๆก็ล้มลงในอ้อมกอดของฉีหยุ่นเฟิง แล้วพึมพำออกมาด้วยเสียงแหลมเล็ก ก่อนจะจมสู่ห้วงนิทรา
“นำพวกเด็กกลับไปพักเถอะ แล้วพรุ่งนี้ฤทธิ์ของโอสถทิพย์จึงจะแสดงผลกับร่างกายของเด็กๆอย่างชัดเจน” อดีตหัวหน้าหมู่บ้านกล่าวออกมา

บรรดาผู้อาวุโสนำโอสถทิพย์ที่เหลือออกมา พวกเขาไม่ได้เอาไปทิ้งให้เสียเปล่า ตานำเอามาต้มอีกครั้ง แล้วใส่สมุนไพรเพิ่มเข้าไปอีกแล้วจนเคี่ยวจนกว่าจะแห้ง จะกลายเป็นยาเพิ่มพลัง ไม่ใช่แค่ช่วยเสริมพลังเท่านั้น ยังมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย เมื่อนำติดตัวไปด้วยในช่วงเวลาออกล่าจะช่วยเพิ่มโอกาสรอดได้มากขึ้น
ในค่ำคืนนั้นเหล่าเด็กน้อยเข้าสู่ห้วงนิทรา ช่วงเช้าถัดมาพวกเขาต่างก็ร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น เพราะผิวหนังเก่าหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นเลอะที่นอนไปหมด

“ฮ่าห์ ฮ่าห์”

อดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง ตั้งสมาธิส่งพลังไปที่ฝ่ามือแล้วแผ่คลุมไปที่มือทั้งสองรวมถึงค้อนจนเปล่งแสงประกายสีทองออกมา ใช้ทุบไปที่ส่วนที่อันตรายที่สุดเขาของช้างเขามังกรนั่นเอง ตามด้วยกระดูกกรงเล็บที่ตัดออกมาของปี่เซี่ย และเขาสีแดงของแรดเพลิงสองหัว มาทุบรวมกันให้ละเอียดเป็นผง เชื่อมส่วนประสมทั้งหมดด้วยเลือดสัตว์ร้ายเล็กน้อย จากนั้นก็เทใส่นนมจากสัตว์ร้ายแล้วเคี่ยวไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นหอมค่อยๆลอยออกมา หลังจากนั้นก็ใส่สมุนไพรตามลงไปทำให้นมมีกลิ่นหอมมากยิ่งขึ้น
“ได้เวลากินแล้ว เจ้าหนูน้อย”
ภายในบ้านที่ทำจากศิลา เด็กน้อยได้ยินเสียงตะโกนเรียก เขาลุกขึ้นหันไปรอบๆ ในขณะตายังไม่ลืมเพราะความง่วง ทันทีที่ได้กลิ่มหอมที่ลอยออกมา เด็กน้อยตาสว่างขึ้นมาทันทีแล้วหันไปทางที่มาของกลิ่น แล้วร้องออกไปอย่างตื่นเต้น
“กลิ่นหอมจังเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว นี่มันยาชั้นเลิศเลยนะ มาดื่มให้หมดอย่าให้เหลือล่ะ” ชายแก่หัวเราะแล้วพูดตอบมา

เด็กน้อยดื่มนมด้วยเร็วดุจหมาป่าที่หิวโหย ไม่นานนักนมที่อยู่ในถ้วยก็ถูกจัดการจนหมด อย่างก็ไรตามผลกระทบของยาวิเศษก็แสดงผลออกมาทันที เนื่องจากเด็กน้อยยังเยาว์วัยมาก และประสิทธิภาพของยาก็มีมากเกินไป จนทำให้เช้านี้ จากเด็กน้อยที่สุภาพเรียบร้อยกลายร่างเป็นสัตว์ร้ายขนาดย่อม เริ่มจากตาทั้งสองข้างที่เปลี่ยนสีแดงเหมือนกระต่ายขาว แล้ววิ่งไปทั่วหมู่บ้านพร้อมส่งเสียงดังออกมาไม่หยุด
“ฮึย ยากกกกกกก”

น่าเวทนานัก ที่ความโชคร้ายมาเยือนศัตรูเก่าอย่างสุนัขสีเหลืองตัวเขื่อง เป้าหมายยังคงเป็นหางอันฟูฟ่องของมัน เด็กน้อยดึงหางไปอย่างต่อเนื่อง จนหางของสุนัขแทบจะหลุดติดมือออกมา เจ้าสุนัขที่น่าสงสารทำได้แค่เห่าออกมาทั้งน้ำตาอยู่ครึ่งค่อนวัน สร้างความวุ่นวายให้เหล่าชาวบ้านยิ่งนัก
“เฮ้ย!! เจ้าหนูทำไมถึงมาถอนรั้วบ้านของข้าด้วย”
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหนูนี่ฟะ ทำไมถึงได้มาวิ่งเล่นบนหลังคาบ้านข้าได้อย่างไร เฮ้ย!! หยุดๆ เลิกรื้อกระเบื้องออกได้แล้ว ”

“ผลลัพธ์ของยาวิเศษที่ข้าทำขึ้น ไม่เลวเลยทีเดียว” ฉีหยุ่นเฟิงกับเหล่าผู้อาวุโสยืนแสดงความคิดเห็นกันเงียบๆ พลางผงกศีรษะด้วยความพอใจ

ไม่ไกลออกไป มีกลุ่มเด็กๆที่ร่างกายสั่นเทา กำลังขดตัวรวมกันด้วยความหวาดกลัว หลังจากได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นเบื้อหน้า แล้วกระซิบกันออกมา
“เจ้าหนูนั่นน่าสงสารจริงๆ”

ทางด้านเจ้าหนูน้อยนั่น เกิดแสงขึ้นที่บริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ก่อนยื่นออกไปที่ท้องฟ้า ปรากฏตำรากระดูกออกมาแล้วสั่นสะเทือนออกมา ในช่วงเวลานี้ ความแข็งแกร่งของและความเร็วของเด็กน้อยได้เลื่อนขึ้นระดับขึ้นมาก้าวใหญ่ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ท่านผู้เฒ่าพึงพอใจนั่นเอง
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงทุกอย่างเงียบสงบลง เด็กน้อยส่ายหัวด้วยความงุนงง แล้วพูดเบาๆออกมา
“มีปัญหาอะไรรึเปล่านะ”