“เจ้าอ้วนนี้มันเกิดอะไรขึ้นและทำไมพวกนั้นถึงได้ดูเหมือนจะกลัวนายกันจัง ? ”

แม้ว่าจะคบกันมานานแล้วแต่ถังซิ่วนั้นไม่ได้สนใจที่จะขุดคุ้ยเกี่ยวกับเบื้องหลังของหยวนชูหลิงเลยและส่วนตัวของหยวนชูหลิงเองนั้นก็ไม่ค่อยจะได้พูดถึงเรื่องของครอบครัวของเขาซักเท่าไหร่

ถังซิ่วรู้เพียงแค่ว่าธุรกิจของพ่อแม่หยวนชูหลิงนั้นมีมูลค่าหลายร้อยล้าน หลังจากที่ไม่รู้อะไรเลยถังซิ่วก็พบว่าสถานะของเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของเขาคนนี้นั้นค่อนข้างที่จะลึกลับ

เมื่อได้ยินคำพูดของถังซิ่วนั้นทำให้หยวนชูหลิงถึงกับหน้าแดงพร้อมทำหน้าแปลกๆและกล่าวว่า

“ลูกพี่, ปัญหาเรื่องนี้ได้แก้ไขแล้ว ลูกพี่ไม่ขุดเบื้องหลังฉันไม่ได้หรอ ? ”

เมื่อถังซิ่วได้ยินเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่จ้องไปที่ใบหน้าของหยวนชูหลิง

“ลูกพี่, ฉันกลัวนายละ ฉันบอกก็ได้ ”

หลังจากที่สายตาของถังซิ่วนั้นจับจ้องอยู่ที่เขานั้น หยวนชูหลิงได้ยอมแพ้ในที่สุดและเริ่มอธิบายเรื่องราวทั้งหมด

ห้าปีก่อน, ประเทศนี้ได้เริ่มการกวาดล้างบริษัทปล่อยเงินกู้อย่างบ้าคลั่ง ลุงของหยวนชูหลิงได้เป็นคนของบริษัทปล่อยเงินกู้แห่งหนึ่งอยู่นานแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ได้ขึ้นเป็นประธานบริษัท

เซ่าเทียหลิน ลุงของหยวนชูหลิงนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาอ่าวซักเท่าไหร่ หลังจากที่เขาเป็นประธานเขาไม่รู้ว่าจะบริหารมันอย่างไรดี ถึงได้ยกหน้าที่นี้ให้เหล่าลูกน้องในบริษัทจัดการ สุดท้ายแล้วก็ถูกยักยอกจนต้องให้พ่อแม่ของหยวนชูหลินนั้นเป็นคนเข้ามาจัดการดูแลให้

เพราะว่าสมัยก่อนนั้นหยวนชูหลิงนั้นไปที่บริษัทบ่อยๆ เซ่าเทียหลินจึงได้รักเขาเป็นอย่างมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอ หยวนชูหลิง นั้นเปรียบเสมือนคุณหนูในบริษัทนั้น

เมื่อได้ยินว่าบริษัทนั้นเป็นของพ่อหยวนชูหลิง ถังซิ่วก็แถบจะกระอักเลือดออกมา เขาได้ซ่อนสายตาที่ขมขื่นเอาไว้ไม่ให้หยวนชูหลิงเห็นพร้อมไม่ได้พูดอะไรออกไป

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ว่าตัวเองและแม่ต้องถูกกดดันอย่างไม่มีทางออกจากบริษัทนี้อยู่นับครึ่งปี ถังซิ่วนั้นรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม

ในใจของซูหลิงหยุนเองก็รู้สึกชาๆอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกัน เธอใช้เวลาอยู่พักหนึ่งในการปรับอารมณ์ของเธอ หลังจากนั้นจึงชวนหยวนชูหลิง ไปนั่งที่เก้าอี้และชงชามาให้เขาดื่มพร้อมเริ่มเก็บกวาดบ้าน

“ลูกพี่, ฉันขอโทษ ตั้งแต่ที่พ่อกับแม่เลิกกัน ฉันก็ไม่ได้ไปที่บริษัทอีกเลย ไม่ได้สนใจในสิ่งที่พวกเขาทำ ไม่อย่างนั้นมันก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ”

หยวนชูหลิงคุ้นเคยกับเบื้องหลังของบริษัทนี้เป็นอย่างดี เขาหันมองไปทั่วบ้านด้วยสายตารู้สึกผิด

“เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดนาย นายไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองไปหรอก ”

เมื่อเห็นสีหน้าขออภัยของหยวนชูหลิงในใจของถังซิ่วก็รู้สึกดีขึ้นพร้อมตบบ่าเขาและถามว่า

“ฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยบอกนายว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน แล้วนี่นายรู้ได้อย่างไรหละ ? ”

“ลูกพี่, ที่ร้านอาหารเกิดอะไรขึ้นกันหนะ ? ทำไมพวกอันธพาลถึงได้ไปทุบร้านโดยไม่มีเหตุผลเลยหละ ต้องการให้ฉันจัดการให้ไหม ? ”

หยวนชูหลิงเปลี่ยนเรื่องโดยการถามเรื่องร้านอาหารโดยทันที

“เรื่องที่ร้านอาหารได้รับการจัดการแล้ว ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วง นายหละ ช่วงหยุดสองวันนี้ไม่กลับไปอยู่กับคุณลุงและคุณป้าหรอ ?”

เมื่อถังซิ่วเห็นแม่ที่มีท่าทางแปลกๆหลังได้ยินเรื่องร้านอาหาร เขาได้รีบเปลี่ยนเรื่องโดยทันที

“ฉัน…..ฉัน… ลูกพี่ , ฉันยังไม่ได้เตรียมใจจะไปเจอพ่อกับแม่เลย ฉันอยากจะรอให้จบการสอบเข้าวิทยาก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องนี้อีกทีหนึ่ง ”

เมื่อพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับผู้ปกครองเขานั้น อารมณ์ของหยวนชูหลิงได้ดิ่งลงทันที

บนโต๊ะอาหารซูหลิงหยุนกำลังนั่งชมฝีมือการทำอาหารของถังซิ่ว ส่วนหยวนชูหลิงนั้นกำลังกินอย่างมูมมามดั่งหมาป่าที่หิวโหยเหมือนซูหลิงหยุนเมื่อก่อนหน้านี้

“ลูกพี่, ฉันจำได้ว่านายพูดไว้ว่าจะต้องได้ที่หนึ่งในระดับชั้นของการสอนครั้งนี้ ตอนนี้ก็ได้สอบเสร็จไปหมดแล้วนายมั่นใจแค่ไหนที่จะได้ที่หนึ่ง ? ”

หยวนชูหลิงได้เอ๋ยปากถามถังซิ่วขึ้นมาด้วยความสนใจ

“นายหายห่วงได้เลย ฉันไม่คุยโวหรอก ”

เมื่อเห็นหยวนชูหลิงถามขึ้นมา ถังซิ่วก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่มั่นใจ

คำพูดของถังซิ่วพึ่งจะจบก็ได้ยินเสียง “แพรง!” ดังขึ้น

เมื่อมองไปถึงที่มาของเสียง ถังซิ่วก็เห็นแม่ที่กำลังยืนจ้องมาที่เขาพร้อมจานที่แตกอยู่ที่พื้นบ้าน

“ซิ่วน้อย, เมื่อกี่เจ้าบอกว่าจะสอบเป็นอันดับหนึ่งของขั้นจริงๆหรือ ? ”

ซูหลิงหยุนไม่สนใจจามที่แตกอยู่ที่พื้นเลย กลับจับไปที่ข้อมือของถัง ซิ่วพร้อมเอ๋ยปากถาม

“แม่ครับ ไม่เกินสามวันผลคะแนนก็จะออกมาแล้ว ถึงเวลานั้นแล้วแม่ก็จะรู้เอง ”

ถังซิ่วรับรู้ได้ถึงความกังวลของแม่

ถังซิ่วนั้นรู้ว่าแม่ของเธอนั้นตั้งความหวังไว้กับเขามาก อยากให้เขาสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปี แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเมื่อปีก่อนนั้นทำให้ความหวังของแม่เขานั้นแถบจะพังทลายลงทั้งหมด

ตอนนี้อยู่ดีๆความรู้ของเขานั้นก็สามารถที่จะกลับมาอยู่ในระดับเดิมได้ มันไม่แปลกเลยที่แม่เขาจะรู้สึกตื่นเต้น

“นี้จะบอกว่าลูกใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนก็สามารถตามความรู้ของตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วทันงั้นเหรอ ? ”

หลังจากได้รับการยืนยันของถังซิ่ว, ซูหลิงหยุนยิ่งมีความรูสึกตื่นเต้นไปกว่าเดิม

“ ดูซะก่อนว่านี้ลูกใคร” ( *แอร๊ะ ชอบคำตอบนี้แหะ เป็นแม่มันคงเขิลตาย )

ถังซิ่วได้ตอบไปอย่างภูมิใจ

“ดี…..ดีจริงๆ แม่รู้อยู่แล้วว่าลูกจะต้องหายเป็นปกติ คะแนนสอบของลูกก็จะต้องกลับเป็นอย่างเดิม ดวงวิญญาณของพ่อลูกที่อยู่บนสวรรค์จะได้พักอย่างสงบ ”

ระหว่างที่ซูหลิงหยุนพูดอยู่ น้ำตาสองสายได้ไหลลงมาจากใบหน้าของเธอพร้อมด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

หลังจากที่ได้เห็นการตอบสนองกันของสองแม่ลูก หยวนชูหลิงที่อยู่ข้างๆอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความกังวล

เดือนนี้เขาเองก็ได้อ่านหนังสือเพื่อตามความรู้ให้ทันการสอบ การที่ ถังซิวจะดีดตัวเองจากท้ายสุดของชั้นปีขึ้นมาอยู่บนสุดนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เมื่อเห็นซูหลิงหยุนที่กำลังร้องไห้อยู่เขาจึงไม่ใจร้ายพอที่จะพูดมันออกไป

ระหว่างที่กำลังนั่งเป็นห่วงถังซิ่วนั้น หยวนชูหลิงได้เห็นสายสัมพันธ์ ของสองแม่ลูกที่มีให้กัน

มันทำให้เขานึกถึงแม่ที่ทิ้งเขาไป ดวงตาของเขาเริ่มเปียก

ระหว่างที่เด็กมัธยมศึกษากำลังเพลิดเพลินไปกับวันหยุดสองวันของพวกเขา อาจารย์นั้นกำลังตรวจข้อสอบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

สำหรับอาจารย์แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้งสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน

ความทุกข์ของพวกเขานั้นก็เพราะว่าพวกเขาต้องสละเวลาของตัวเองเพื่อมาตรวจกระดาษข้อสอบเหล่านี้ แต่ความสุขของพวกเขาคือการที่ได้เห็นคะแนนสอบของนักเรียนตัวเองดีขึ้นแม้จะน้อยนิดก็ตาม

“คะแนนสอบของหยานเจียงนั้นดีทีเดียว คะแนนภาษาจีนของเขาทำได้ 128 คะแนน ส่วนคณิตศาสตร์นั้น 135 คะแนน วิทยาศาสตร์ได้รวมกัน 242 คะแนน ถ้าเขาได้คะแนนอังกฤษเกิน 120 ละก็ เขาสามารถที่จะเข้าเรียนที่วิยาลัยชั้นนำได้อย่างแน่นอน  ”

ฮูฉิวเชงนั้นกำลังนั่งนับคะแนนของนักเรียนในห้องของเขาด้วยความรู้สึกพอใจ

แค่ถึงบ่ายนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่อาจารย์จะสามารถตรวจคะแนนของผู้เข้าสอบทุกคนแต่มันเป็นไปได้ที่จะเลือกคนที่โดดเด่นออกมาจากแต่ละห้องเพื่อตรวจสอบก่อน

“คะแนนอังกฤษของหยางเจียงนั้นทั้งหมด 128 คะแนน รวมคะแนนทั้งหมดก็ได้ 633 คะแนน ยินดีด้วยอาจารย์ฮู, หยานเจียงจะต้องได้รับเข้าเรียนที่วิทยาลัยชั้นนำอย่างแน่นอน  ”

อาจารย์ที่ตรวจข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษของห้องหลักได้หยิบกระดาษคำตอบของหยานเจียงให้ฮูฉิวเชงอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินหยานเจียงได้คะแนนรวมถึง 633 คะแนน อาจารย์คนอื่นๆได้แต่มองไปที่ฮูฉิวเชงด้วยความอิจฉา พร้อมกล่าวแสดงความยินดี

“ใช่, ถังหลีจวนจากห้องผมได้คะแนนรวม 610 คะแนน ดูเหมือนว่าเขาจะได้แค่ที่สองอีกแล้ว ”

“อาจารย์เสี่ยวอย่าพึ่งถอนหายใจสิ ดูผมนี้อันดับหนึ่งของห้องผมทำคะแนนรวมได้แค่ 598 คะแนน, ไม่รู้ว่าจะสามารถติดอันดับ 1 ใน 10 ได้หรือเปล่าเนี้ย ”

“การสอบของเดือนนี้ได้เพิ่มระดับความยากขึ้นเป็นอย่างมากถ้าเทียบกับเดือนก่อนๆ นี้มันสามารถเทียบได้กับการสอบเข้าวิทยาลัยด้วยซ้ำใครที่สามารถได้คะแนนเกิน 550 นั้นก็แปลว่าสามารถที่จะเข้าวิทยาลัยชั้นนำได้แล้ว ”

……

“ทุกคนยังจำได้ไหมว่าผมได้พนันอะไรไว้กับอาจารย์ฮั่น ?”

หลังจากได้ยินอาจารย์แต่ละคนพูดประจบเขา เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างมากจึงได้เอ๋ยปากกล่าวออกไป

เมื่อได้ยินคำพูดของฮูฉิวเชงนั้น เปรียบเหมือนมีอะไรมากระชากคอพวกเขาไว้

“ภรรยาผมบอกว่าให้กลับบ้านเร็ววันนี้ ผมต้องรีบกลับไปทานข้าวเย็นก่อน ผมขอตัวหละ  ”

“วันนี้ถ้ากลับบ้านช้า แฟนผมคงจะต้องโกรธมากๆแน่ ผมไม่สามารถอยู่ตรวจต่อได้แล้ว ขอลา ”

“กระดาษคำตอบของนักเรียนเด่นๆ 20 คนจากแต่ละห้องนั้นได้ถูกตรวจสอบหมดแล้ววันนี้ที่เหลือเอาไว้ตรวจพรุ่งนี้ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้กลับบ้านดีๆหละ”

…..

ในขณะที่สายตาของฮูฉิวเชงนั้นยังคงเงิบอยู่ ผู้คนที่เต็มห้องอยู่เมื่อกี้ตอนนี้ทยอยหายกันไปหมดแล้วเหลือแค่เขากับฮั่นชิงหวู

“อาจารย์ฮู, คุณรีบกลับบ้านเหมือนอาจารย์คนอื่นๆหรือเปล่า ?  หรือจะนั่งตรวจข้อสอบของถังซิ่วดี ? ”

ฮั่นชิงหวูพูดพร้อมยิ้มแบบกวนประสาทไปที่ฮูฉิวเชง

“เธอออ…… เธอ………”

ฮูฉิวเชงนั้นแทบจะสำลักโดยคำพูดของฮั่นชิงหวู เขาได้ชี้ไปที่ใบหน้าของฮั่นชิงหวู และไม่สามารถที่จะพูดอะไรโต้แย้งได้ พร้อมกับผลักประตูออกไป