อีกาอัคคีพุ่งไปอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นเปลวไฟ จี้ฮ่าวจ้องมองไปที่หุบเขาด้านล่าง ขณะที่เขานั่งอยู่บนหลังของอีกาอัคคี อีกาส่งเสียงร้องและสยายปีก ล่อนผ่านช่องว่างระหว่างช่องเขา ความกว้างประมานร้อยฟุต ผ่านไม่นานช่องว่างระหว่างเขาก็กว้างขึ้น ตรงหน้าปรากฏหุบเขาขนาดใหญ่มันมีความยาวกว่าร้อยไมล์ ส่วนที่กว้างที่สุดของมันมีความกว้างกว่าสามสิบไมล์

ยอดเขาสูงที่เรียงติดๆกันนั้น รู้จักกันในนาม หุบเขาทองคำทมิฬ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอีกาอัคคี อีกาอัคคีนั้นคือสิ่งมีชีวิตในตำนาน เป็นที่รู้กันว่ามันเป็นสัตว์ที่ทรงพลังที่สุดของเผ่ากาอัคคี ตามตำนานอีกาทองคำสามขา ถือเป็นบรรพบุรุษของทั้งเหล่าอีกาอัคคีและเผ่าอีกาอัคคี

ในส่วนลึกของหมู่บ้านเต็มไปด้วยต้นหม่อนและบนยอดของต้นหม่อนมีรังอีกาอยู่มากมาย เหนือต้นหม่อนขึ้นไปมีอีกาอัคคีฝูงใหญ่กำลังบินไปมาอยู่นับไม่ถ้วน

เมื่อจี้ฮ่าวและอีกาอัคคีมาถึงต้นหม่อน เหล่าอีกาทั้งหลายได้บินโฉบลงมาเกาะที่กิ่งไม้ จ้องมองมาที่พวกเขาอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นอีกาทั้งหลายก็กางปีก พร้อมทั้งย่อตัวลงเพื่อเป็นทักทายเจ้ากา นี่เป็นการทักทายในแบบของพวกมัน
จี้ฮ่าวกระโดดลงมาจากหลังของเจ้ากา แล้วผิวปาก จากนั้นเจ้ากาก็บินหายเข้าไปในหุบเขาทองคำทมิฬ

อีการุ่นเยาว์จำนวนมากจ้องมองไปที่จี้ฮ่าวอย่างเงียบๆ ด้วยในตาสีแดงเพลิงของมัน ทำให้บรรยากาศดูแปลกประหลาดและชวนให้รู้สึกอึดอัด จี้ฮ่าวโบกมือทางที่อีกาเหล่านั้นและ ก็เดินไปตามทางที่แคบและคดเคี้ยว มันมีความกว้างน้อยกว่าสามฟุต

เสียงของใบไม้ไหวดังสนั่น เมื่อมีลมแรงพัดผ่านกิ่งไม้ ต้นหม่อนดูเหมือนจะมีเส้นรอบวงเพียงสิบไมล์ แต่เมื่อมองลงมาจากข้างบนมันช่างกว้างใหญ่และไร้ที่สิ้นสุด

หลังจากที่จี้ฮ่าววิ่งไปตามทางไม่กี่นาที จี้ฮ่าวได้สังเกตเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ประมาณร้อยคนโอบ 2 ต้น ตั้งตระหง่านอยู่ ซึ่งต้นไม้ทั้งสองต้นนี้จะไม่สามารถเห็นจากภายนอกป่าได้ ต้นไม้ทั้งสองต้นอยู่ห่างกันประมาณ 12 เมตร กิ่งของมันโค้งเข้าหากันเป็นช่องประตู จี้ฮ่าวเดินผ่านประตูเข้าไป เขารู้สึกได้ถึงกระแสลมอันอบอุ่นพัดเข้าใส่

ในที่สุดเขาก็ผ่านทุ่งหญ้า มาถึงจุดสิ้นสุดทางของป่า มีโดมขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ ที่ยอดของโดมนั่นมีลานกว้าง บนลานมีโครงกระดูกอีกาอัคคีทองคำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ในท่ากางปีกออกมันกว้างกว่าร้อยฟุต
จี้ฮ่าวสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ไม่สิ้นสุดจากโครงกระดูก ซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งป่า แวบแรกที่เขาได้เห็นรู้สึกเหมือนกำลังมองไปยังดวงอาทิตย์ที่ลุกโชติช่วงอยู่ในอากาศ

จี้ฮ่าวโค้งคำนับโครงกระดูกสามครั้ง และผสานมือของเขาพร้อมกับอธิฐาน หลังจากอธิฐานเสร็จ เขาไปยืนอยู่ที่ประตูแอบมองผ่านช่องประตูเข้าไป ข้างในเป็นห้องกว้างใหญ่ ใหญ่พอที่บรรจุคนได้กว่าพันคน มันคือห้องประชุมของเผ่าอีกาอัคคี ซึ่งสามารถเข้าได้เฉพาะบุคคลระดับสูงของเผ่า สำหรับประชุมปรึกษาหารือเรื่องสำคัญต่างๆภายในเผ่าอีกาอัคคี

พื้นถูกปูด้วยหิน มีกองไฟถูกก่ออยู่ที่ใจกลางของห้อง ตรงกองไฟมีเนื้อสัตว์ป่ากำลังถูกย่างจนได้ที่ มันสีทองเป็นเงา และไขมันกำลังหยดลงไปในกองไฟ จี้ฮ่าวได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง
ไหสุราที่ทำจากดินเหนียวนับสิบ ตั้งอยู่ใกล้ๆกองไฟ คนวัยกลางคนรูปร่างกำยำ พร้อมด้วยเหล่าผู้อาวุโสกำลังนั่งดื่มกันอยู่รอบกองไฟด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม ไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงแค่เสียงรินสุรากับเสียงกองไฟ

ในตอนที่จี้ฮ่าวมาถึง เนื้อสัตว์ได้ถูกกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขามองไปรอบๆเห็นกระดูกของสัตว์ถูกตัดออก เพื่อเอาไขกระดูกออกมากิน พวกเขาดื่มสุรากันโดยไม่เหลือสักหยด

ชายที่ดูแข็งแรง ตัวสูงกว่าสามเมตร ตาของเขาแคบเหมือนงู ผมของเขายาวและถักเป็นเปีย ใบหน้าของเขาดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่
ทันใดนั้น เขาหยิบไหขึ้นมาแล้วขว้างมันลงไปบนพื้น ไหแตกเสียงดัง
“พวกเราดื่มกินกันพอแล้ว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า! ”

เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ ผิวหนังของเขามีไอร้อนลอยออกมา ทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้น

“จี้เซีย เจ้าไม่ได้เหมือนเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ตั้งแต่เจ้าถูกทำลายจุดชีพจรเวทย์ เจ้าก็ไม่ใช่นักรบ เจ้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ”

เขาชี้นิ้วไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงประตู แล้วพูดต่อ

“เจ้ามีคุณสมบัติอะไรในการเป็นผู้นำของเรา? อะไรทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถชี้นำพวกเราได้ นักรบแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์รึ? ทำไมเจ้าถึงยังกุมอำนาจบัญชาการนักรบในเผ่าเราไว้”

ชายคนที่ถูกชี้ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ไหล่ของเขากว้าง เขาสูงกว่าคนที่กำลังอาละวาดซะอีก แต่ร่างกายของเขาไม่มีมัดกล้าม ดูเหมือนหนังหุ้มกระดูก ที่อาจจะถูกลมพัดลอยไปได้
เขาคือจี้เซีย พ่อของจี้ฮ่าว อดีตนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าอีกาอัคคี

เเต่เมื่อครั้งที่จี้ฮ่าวถือกำเนิด เขาถูกซุ่มโจมตีจากคนเผ่านาคาทมิฬ ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปกป้องลูกชายของเขา ร่างกายของเขาเริ่มเสื่อมถอยนับตั้งแต่นั้นมา มีแต่คนคิดว่าเขาสูญเสียพลังและความแข็งแกร่งไปจนหมดแล้ว

จี้ฮ่าวกำหมัดแน่น จ้องไปทางจี้เซีย เขานึกย้อนกับไปในการต่อสู้ครั้งนั้น เขาจำมันได้อย่างชัดเจน จี้เซียต่อสู้อย่างสิ้นหวังและโดดเดี่ยว เพื่อที่จะปกป้องเขาจี้เซียใช้ร่างกายของเขาป้องกันการโจมตีของศัตรูทั้งหมดเอาไว้ จี้ฮ่าวยังจำความรู้สึกที่เลือดอุ่นๆของพ่อเขากระเด็นมาถูกตัวเขา จี้ฮ่าวจ้องเขม็งไปที่ชายที่กำลังอาละวาด

“งั้นพี่ชายจี้มู่ ท่านคิดว่ายังไง ” จี้เซียยิ้มอย่างสงบ

ไร้เสียงตอบกลับจากจี้มู่

เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกยืนขึ้น แล้วชี้นิ้วไปทางจี้เซียพร้อมกับตะโกน

“เจ้าแก่ไร้ประโยชน์ เรายังจำเป็นต้องพูดกันอีกเหรอ ออกไปจากที่นี่ไปซะ! แล้วไปใช้เวลาที่เหลือของแกกับผู้หญิงเผ่าชินหยีกับเด็กน้อยของแก และให้พ่อของข้าขึ้นเป็นหัวหน้าแทน เขาจะเป็นคนดูแลดินแดนศักดิ์สิทธิและเผ่าเรา! ”

เด็กหนุ่มเชิดหน้าขึ้นและยืดอกขึ้นแล้วกล่าวต่อ

“พิธีบูชากำลังใกล้เข้ามา บรรดาหัวหน้าเผ่าทั้งหลายจะเดินทางมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ และบูชาบรรพบุรุษของเรา ต่อหน้าหน้าเผ่าพวกนั้น แกควรจะประกาศสละตำแหน่งและออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิไปซะ! ”

“เจ้าแก่ไร้ประโยชน์? ผู้หญิงเผ่าชินหยี? ” จี้ฮ่าวหัวเราะเย้ยหยัน เขาถีบไปประตูเข้าไปในห้อง โดยไม่รอช้า

“เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกินน้ำนม เจ้ามาพูดอะไรที่นี่? ” จี้ฮ่าวตะโกน เขาประสานมือเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเปลวไฟลุกโชนขึ้นแล้วพุ่งตรงไปที่เด็กหนุ่มนั้น

เปลวไฟลุกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวมันเผาผมและคิวของเด็กหนุ่มนั่นไม่เหลือ