เมื่อเป่ยเฟิงต้องการจะลุกขึ้น ฉีเฮ่าพุ่งตัวตามมาจากท้องฟ้าดั่งอินทรีตัวน้อยกำลังถลาลงมา แล้วเหยียดขากระทืบไปที่ท้องน้อยเป่ยเฟิงเต็มแรง แล้วก้มหน้ามองด้วยสายตาลุกโชนไปด้วยอารมณ์
ตามด้วยเสียงกระแทกกับพื้นดังสนั่น จนพื้นที่ในแถบหุบเขาแห่งนี้สั่นสะเทือนเบาๆ เด็กหนุ่มผู้โหดเหี้ยมเป่ยเฟิงโดนกระทืบอีกครั้งที่กลางแผ่นหลัง
ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านหมาป่าต่างตกตะลึง เป่ยเฟิงผู้ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นและเด็กหนุ่มก็ได้รับความเคารพอย่างมากจากผู้คนในหมู่บ้าน พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มจะพ่ายแพ้เช่นนี้ ทั้งยังพ่ายแพ้ให้แก่เด็กที่อายุไม่ถึงสี่ขวบ

หลายๆคนต่างก็เตรียมธนูของตนแล้วเล็งไปที่เฮ่าน้อยอย่างอาฆาตมาดร้าย เพื่อที่จะให้พวกตนหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ย่ำแย่เช่นนี้

ฉีเฟยเฉียวและคนอื่นจากหมู่บ้านศิลาเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ต่างออกอาการโกรธเกรี้ยวและเตรียมธนูของพวกตนแล้วเล็งไปที่กลุ่มศัตรูเบื้องหน้าเช่นกัน สงครามที่รุนแรงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ทางด้านฉีเฮ่าเมื่อเห็นว่าตนตกเป็นหมายเข่นฆ่าก็รวบรวมพลังแล้วคว้าไปที่คอเสื้อของเป่ยเฟิงแล้วยกขึ้นบังด้านหน้าของตนไว้ต่างโล่ เด็กน้อยวางร่างตรงหน้าโดยหันไปเผชิญกับผู้คนจากหมู่บ้านหมาป่าเพื่อปกป้องตนเอง

เป่ยเฟิงโกรธจนหัวหมุนไปหมด เด็กหนุ่มแทบจะไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นของตนไว้และยังโมโหจนแทบจะคุมตัวเองไว้ไม่อยู่ วันนี้เด็กหนุ่มทั้งได้รับความอับอายและความอัปยศอดสูจนเกินกว่าจะรับได้ แล้วยังมาโดนจับตัวถือไปมาเหมือนดั่งเด็กทารก มันช่างเป็นรสชาติที่เลวร้ายมากกว่าโดนเข่นฆ่าเสียอีก เด็กหนุ่มก็ดิ้นรนอีกครั้งด้วยการออกหมัดไปที่เฮ่าน้อยด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

แม้ว่าฉีเฮ่าจะไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์มากนัก แต่เขามือและสายตาของเด็กน้อยมีความรวดเร็วมากเกินพอที่จะรับรู้ได้ถึงอันตราย พลันเกิดอักขระหมุนวนที่กลางฝ่ามือแล้วตบไปที่บ้องหูของเป่ยเฟิงในทันที ทั้งศีรษะและร่างกายของเป่ยเฟิง กระตุกอย่างรุนแรง ทั้งยังกระอักเลือดออกมาจากปากของเขามากมายและหมดสิ้นแรงที่จะออกหมัดได้
ฉีเฮ่าไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เด็กน้อยยกร่างของเป่ยเฟิงที่สูงกว่าตนแล้วดีดตัวพุ่งไปยังทิศทางที่ฉีหลิงหู่และคนอื่นๆยืนอยู่ในพริบตา

อย่างไรก็ตามร่างกายของเป่ยเฟิงนั้นสูงใหญ่กว่าเฮ่าน้อยนัก ทำให้ร่างกายกว่าครึ่งของเขาไถลครูดไปกับพื้นหินและผ่านดงหนามไปทั้งอย่างนั้น ด้วยตอนนี้ผมที่กระเซอะกระเซิง หากเปรียบเทียบกับความหล่อเหลาแบบเย็นชาในช่วงก่อนหน้านั้น ช่างแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังเท้ายิ่งนัก จนทำให้เด็กหนุ่มแทนจะทนทานไม่ได้
ก่อนเฮ่าน้อยจะไปถึงกลุ่มของตนเป็นระยะเก้าเมตร เด็กน้อยก็จัดการโยนร่างของ เป่ยเฟิงออกจากเงื้อมมือของตนอย่างไม่ไยดี จนร่างของเด็กหนุ่มกระดอนไปกับพื้นแล้วไปหยุดอยู่ตรงหน้ากลุ่มของฉีหลิงหู่ เด็กหนุ่มกลิ้งไปสองสามตลบก่อนจะกระอักเลือดออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เจ้าเวร ไม่ทำท่าทางโหดเหี้ยมต่อแล้วหรือ ความหยิ่งยโสหายไปไหนหมด หา!? อยู่นิ่งๆสิฟะ!!” หลังจากที่ฉีเฟยเฉียวพูดเสร็จ เขาก็กระทืบเบาๆ?ไปที่เป่ยเฟิงจนพื้นดินแตกกระจายแล้วหน้าอกของเป่ยเฟิงก็ยุบลงไปทันที
พวกเขาทั้งสองแข็งแกร่งพอๆกัน แต่ในตอนนี้เป่ยเฟิงไม่ต่างจากนักโทษชั้นต่ำที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้จนโดนทำร้ายจนกระดูกกบริเวณหน้าอกยุบลงไป ความเจ็บปวดมากมายที่ได้รับทำให้เด็กหนุ่มถึงกับร้องโหยหวนและหลั่งเหงื่อออกมาชุ่มโชกไปทั้งตัว

“เจ้าหนู เจ้าใจดีเกินไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าต้องการจับกุมศัตรู จงอย่าได้รั้งรอที่จะทำร้ายให้พวกมันบาดเจ็บจนมากพอที่จะมั่นใจได้ว่ามันจะไม่สามารถลอบกัดเราได้” ฉีหลิงหู่สอนเฮ่าน้อยอย่างใจเย็น

“ครับ!!” เด็กน้อยแสดงอาการอายออกมาเล็กน้อยดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับภาพลักษณ์ที่ราวกับพยัคฆ์ร้ายเมื่อครู่ ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้ด้วยเหตุผลแค่ว่าท่านลุงของเขาได้รับบาดเจ็บจากการโดนทำร้ายจนเกือบตาย เพราะศัตรูนั้นป่าเถื่อนเกินไป เด็กน้อยจึงเข้าร่วมการต่อสู้อย่างไม่ลังเล

“พวกท่าทจากหมู่ศิลา โปรดปราณีซักหน่อยเถอะ พวกเราสามารถพูดคุยกันได้ จริงไหม” เหล่าชาวบ้านหมาป่าต่างก็มีอาการร้อนใจราวกับเป็นห่วงในเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากเป่ยเฟิงตายไป หมู่บ้านจะต้องได้รับการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

“จะมาเจรจาอะไรกันตอนนี้ พวกเจ้าแย่งชิงเหยื่อที่พวกเราหามาอย่างยากลำบาก ทั้งยังตั้งใจจะสังหารสมาชิกของพวกเราอีก เมื่อเจ้าเด็กยิงธนูมาที่พวกเราอย่างเหี้ยมโหด ทำไมพวกเจ้าไม่คิดถึงผลที่จะตามมากันเล่า?” ฉีหลิงสวนกลับด้วยความโมโห
กร็อบ!!
อีกด้านหนึ่ง ฉีเฟยเฉียวกระทืบลงไปที่ร่างเด็กหนุ่มอีกเป็นครั้งที่สอง กระดูกท่อนแขนของเป่ยเฟิงหักทันที เป็นเหตุให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มยังคงไม่พูดออกมาแม้ซักครึ่งคำ

“ไม่!! หยุดเถอะ ทุกอย่างเป็นความผิดของพวกเราเอง อภัยให้พวกเราอีกครั้งได้หรือไม่”  ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งหมู่บ้านหมาป่าตะโกนออกมาอย่างร้อนอกร้อนใจ
เมื่อหัวหน้าทีมนักล่าของพวกเขาตะโกนออกมา ว่าต้องการการต่อรอง เขามีความสูงถึง 2.34 เมตรทั้งยังเป็นบุคคลที่มีลักษณะชอบการขู่เข็ญและเหี้ยมเกรียม แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถแสดงถึงความกดขี่และความแข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป

“ไปคุยกับบิดาพวกเจ้าเถอะ พวกเราไม่สนใจอะไรทั้งนั้นโดยเฉพาะต้องจัดการเจ้านี้ก่อนเป็นอันดับแรก” บิดาของเมิ่งเอ๋อสบถออกมาด้วยความโกรธ หลายวันมาแล้วที่พวกเขาชาวหมู่บ้านศิลามีแต่เพลิงแค้นสะสมเต็มกระเพาะ แล้วจะให้จบไปง่ายๆอย่างนี้หรือ

เปรี้ยง!!

แล้วเขาก็ง้างฝ่ามือที่ใหญ่เหมือนพัดตบอย่างรุนแรงไปที่ใบหน้าของเป่ยเฟิง  ทำให้ผิวหนังบางส่วนของเด็กหนุ่มปริแตกทันที และร่างกายปลิวกระเด็นขนานไปกับพื้นกว่าสิบเมตร

“เจ้าเด็กบัดซบ กล้าท้าทายข้างั้นหรือ เจ้าเกือบสังหารพี่น้องของพวกเราไปหลายคน ศรแต่ละดอกของเจ้าล้วนทำร้ายอวัยวะภายในของพวกเขา ความหยิ่งยโสของเจ้าไปไหนแล้วล่ะ แสดงให้ข้าดูหน่อยสิฟะ”
เพี้ยะ!!…..

เป่ยเฟิงได้แต่กลิ้งไปมาภายใต้ดงตีนของกลุ่มของฉีหลิงหู่ ซึ่งทีมนักล่าแต่ละคนต่างก็มีพลังเตะไม่ต่ำกว่าพันจินมากพอที่จะเตะสัตว์ร้ายตายได้ ถึงแม้ว่าเป่ยเฟิงจะแข็งแรงมากแค่ไหน เด็กหนุ่มก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ดี เสียงกระดูกหักดังออกมาอยู่สี่ห้าครั้ง ปากของเขากระตุกถี่ยิบและเลือดทะลักออกเหมือนกับสายน้ำ

ไม่นานนัก จากที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เย็นชาและอำมหิต แต่ในตอนนี้เขากลายเป็นแค่นักโทษที่นอนโง่งมให้โดนกระทืบ ศีรษะของเด็กหนุ่มแตกหลายแห่ง เส้นผมพันกันยุ่งเหยิง เลือดไหลท่วมร่างกายและกลายเป็นเหมือนคนใบ้ ความขัดแย้งครั้งมันใหญ่เกินไปเกินกว่าจะเชื่อมกลับมาได้
ทุกคนในหมู่บ้านศิลาต่างก็เกลียดในการกระทำของเป่ยเผิงอย่างมาก เพราะสิ่งที่เค้าได้ทำลงไปสร้างความเจ็บแสบให้แก่พวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะความเหี้ยมโหดและยโสโอหังของเด็กหนุ่มทำให้พวกเขารู้สึกคันยิบๆที่ฝ่าเท้ายิ่งนัก แต่ตอนนี้ ฟ้าก็ได้มอบยาแก้คันให้แก่พวกเขา พวกเขาจึงไม่รอช้าที่จะรักษาอาการคันของตนในทันที และแล้วเทศกาลยำตีนก็เกิดขึ้นในพื้นที่เปลี่ยวร้างแห้งนี้ อีกทั้งชาวบ้านแห่งหมู่บ้านศิลาต่างก็ฝึกฝนร่างกายอยู่เสมอ ส่งผลให้ร่างของเป่ยเฟิงแทบจะหลุดออกเป็นชิ้นๆ จนดูไม่ออกว่ากระดูกตรงไหนหักหรือแตกละเอียดไปบ้าง
“หยุด!!”
เหล่าสมาชิกหมู่บ้านหมาป่าร้อนใจยิ่งกว่าเดิมนักแล้วเริ่มยกคันธนูขึ้นมาขู่เพื่อต้องการกดดันอีกฝ่ายหนึ่งไม่ให้ใช้ความรุนแรงไปมากกว่านี้ เมื่อเกรงว่าเป่ยเฟิงกำลังจะกลายเป็นคนพิกลพิการและสูญเสียความในการเป็นสุดยอดอัจฉริยะไป
“พวกเจ้าทั้งหมดหยุดแล้วยืนอยู่ตรงนั้นแหละ พวกเราไม่สังหารเด็กนี่หรอก จงปล่อยให้เราระบายความโมโหเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน” ฉีเฟยเฉียวตะโกนบอก
ทุกคนต่างรุมทุบตีอย่างต่อเนื่อง ไม่นานหลังจากนั้นเป่ยเฟิงก็โยนทิ้งอย่างไม่ไยดี สภาพของเด็กหนุ่มนั้นแทบจะไม่เหลือรูปร่างของมนุษย์ เลือดกำเดาไหลทะลักออกมาไม่หยุด ใบหน้าบวมปูดอย่างเห็นได้ชัดแล้วมีร่องรอยกระดูกหักไปเกือบทั้งตัว เด็กหนุ่มอยู่ในสภาพน่าอนาถจนไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป
ไม่นานนักกลุ่มเด็กๆก็เข้ามากระทืบต่อ โดยเฉพาะไป่หัว เด็กชายเตะออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี แล้วกล่าวทับถมว่า “เจ้าเกือบจะสังหารท่านพ่อของข้า ใครสนว่าเจ้าอหังการมาจากไหน แล้วไง สุดท้ายเจ้าก็พ่ายแพ้ให้กับเจ้าหนูของพวกเราอยู่ดี”

“เจ้าหนูของพวกเราอายุยังไม่ถึงสี่ขวบด้วยซ้ำ แต่เจ้าอายุมากกว่าเขาเป็น10ปี เจ้ายังทำอะไรไม่ได้เลย แล้วใครยังจะเชื่ออีกว่าเจ้าจะอยู่เหนือกว่าผู้อื่น” กลุ่มของเด็กๆกระทืบไปด้วยแล้วพูดทับถมไปด้วย

ตอนนี้กลุ่มผู้คนล้อมรอบฉีเฮ่าต่างก็ชื่นชมเด็กน้อยอย่างต่อเนื่อง เมื่อเหล่าชาวบ้านได้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แสดงออกมาของเด็กน้อยทั้งยังสามารถจับเป็นเด็กหนุ่มที่มีความแข็งแกร่งพอๆกับฉีหลิงหู่ได้

“สหายจากหมู่ศิลา คลายความโกรธแล้วใช่ไหม พอใจแล้วใช่หรือไม่” ทุกคนจากหมู่บ้านหมาป่ากำลังกังวล หากยังปล่อยไว้เช่นนี้จากอัจฉริยะจะกลายเป็นง่อยเสียก่อน หากเป็นเช่นนี้จะแตกต่างอะไรกับการตายเยี่ยงสุนัข

“เอาล่ะ มาพูดคุยกันเถอะ” ฉีหลิงหู่ก็หย่อนก้นลงไปนั่งบนร่างของเป่ยเฟิงแบบสบายๆ ส่งผลให้ผู้คนหมู่บ้านหมาป่าอยากจะฉีกชายหนุ่มเป็นชิ้นๆยิ่งนัก นั่นคือฉีหลิงหู่ชายผู้มีความสูงไม่ต่ำกว่า2.5เมตรและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อทำให้มีน้ำหนักพอกับวัว กลับทิ้งตัวนั่งลงไปอย่างไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ผู้แพ้เป็นโจรผู้ชนะป็นจ้าว พวกเขาได้แต่ยอมโอนอ่อนแล้วใช้ถ้อยคำประนีประนอมเข้าพูดคุย ไม่สามารถแสดงความโกรธเคืองออกไปได้
“ยังไงพวกเราก็เป็นเหมือนสหายที่อาศัยร่วมกันในที่หุบเขาแห่งนี้ เมื่อเกิดความขัดแย้งเล็กน้อย พวกเราก็ยังต้องพบเจอกันบ่อยๆอยู่ดี พวกเราขออภัยสำหรับความไม่ยั้งคิดของพวกเราด้วยเถอะ”  ชายผู้มีฝีปากคล่องแคล่วแห่งกลุ่มนักล่าหมู่บ้านหมาป่าเอ่ยขึ้นมา
“ไอ้หนอนน้อยเอ้ย!! พูดมาได้ พบเจอกันบ่อยๆ พูดง่ายเหลือเกินนะ แล้วสิ่งที่พวกเจ้าทำมันเล็กน้อยตรงไหนกัน เจตนาเข่นฆ่าเนี่ยนะ” ฉีเฟยเฉียวตำหนิออกมา
ฉีหลิงหูโบกมือเป็นเชิงไม่สนใจแล้วกล่าวออกมา “หยุดพูดจางี่เง่าได้แล้ว พวกเราไม่อยากได้ยิน บอกมาได้แล้วว่าจะชดใช้ให้พวกเรายังไง”
“นี่…” ผู้คนหมู่บ้านหมาป่าต่างก็ทำหน้าบูดบึ้ง หัวหน้าทีมนักล่ากล่าวตอบ “เพื่อเป็นการขอโทษ พวกเราจะชดเชยด้วยเหยื่อทั้งหมดของเรา เป็นอย่างไร?”

บิดาของเมิ่งเอ๋อกรอกตาแล้วพูดขึ้นมา “เหยื่อพวกนั้นมันเป็นของเราอยู่แล้ว พวกเราเป็นคนล่าพวกมันมาได้ เจ้าคิดจะมอบสิ่งของที่เป็นของพวกเราอยู่แล้วหรือ”
“งั้นจากนี้ไป พวกเราจะไม่เข้ามาในอาณาเขตของพวกเจ้าอีก และจะคืนเหยื่อทั้งหมดกลับด้วย เป็นอย่างไร?” มีคนเอ่ยขึ้นจากในกลุ่มหมู่บ้านหมาป่า
“บัดซบเอ้ย!! มันก็เป็นอย่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอฟะ” คนที่จุดเดือดต่ำตะคอกขึ้นอย่างโมโห
ฉีหลิงหู่ส่งสัญญาณให้เงียบแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าไม่อยากจะพูดกับพวกเจ้าไปมากกว่านี้แล้ว หากต้องการให้เราปล่อยเจ้าเด็กนี่ พวกเจ้าทุกคนต้องส่งอาวุธพกติดตัวมาให้พวกเราทั้งหมด แล้วอย่าปรากฏตัวให้พวกเราเห็นอีก”
“อะไรนะ!! ไม่มีทาง” ทุกคนชาวหมู่บ้านหมาป่าตะโกนเสียงดังลั่น สำหรับพวกเขา อาวุธก็คือชีวิต หากไม่มีอาวุธ พวกเขาจะอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีก ใครก็ได้ตัดหัวของเจ้าเด็กนั้นแล้วส่งไปให้พวกเขาซะ” ฉีหลิงหู่สั่งออกมาเสียงดัง
“รับทราบ” มีเสียงเข้มแข็งตอบกลับมาพร้อมทั้งเงื้อดาบเตรียมจะบั่นคอเป่ยเฟิง
“อย่าทำๆ พวกเราตกลง” มีเสียงจากบุคคลสำคัญภายในหมู่บ้านหมาป่าแฝงความกังวลดังขึ้นมา
ใบหน้าของชาวบ้านแห่งหมาบ้านหมาป่าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด “พวกเราต้องทิ้งอาวุธของพวกเราจริงๆหรือนี่”
“สำหรับอาวุธหากสูญเสียไป ยังสามารถสร้างขึ้นมาให้ได้แม้จะต้องใช้เวลาบ้าง แต่สำหรับชีวิตคน หากสูญเสียไปคงไม่อาจฟื้นกลับมาได้ โดยเฉพาะเป่ยเฟิงนั้นมีศักยภาพสูงล้ำนัก ผู้คนเช่นนี้จำเป็นรักษาไว้เพื่อปกป้องหมู่บ้านของพวกเราในอนาคต”
พวกเขาต่างก็จำเป็นต้องทิ้งลูกธนู คันธนูเขามังกร แม้แต่ดาบที่คมกริบและอาวุธอีกมากมายให้แก่ผู้อื่น หัวใจของพวกเขากำลังหลั่งเลือดด้วยความเจ็บช้ำ
สุดท้ายแล้ว สงครามก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของเฮ่าน้อยที่เข้าต่อสู้กับเด็กหนุ่มที่พรสวรรค์อันน่ากลัว เป่ยเฟิง ทำให้สงครามที่กำลังปะทุต้องหยุดชะงักลง ทำให้ไม่ได้มีการหลั่งเลือดเกิดขึ้น มิฉะนั้นใครเล่าจะรู้ว่าต้องเกิดการสูญเสียมากเท่าไร

กลุ่มผู้คนต่างเดินทางกลับไปยังสถานที่อันอบอุ่น หมู่บ้านศิลา

หลายวันผ่านไป หมู่บ้านศิลาค่อนข้างสงบสุข อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกภายในหุบเขามืดนั้นกลับไร้ความสงบอย่างสิ้นเชิง เสียงร้องของบรรดาสัตว์ร้ายดังก้องไปทั่วท้องฟ้า สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งหุบเขาก่อเกิดแผ่นดินถล่ม
“หัวหน้าขอรับ อีกไม่นานเจ้าตัวน่ากลัวอย่างชุนหนี่ที่อยู่ใจกลางหุบเขากำลังจะตาย ตอนนี้กำลังคำรามและต่อสู้อย่างต่อเนื่อง”
เสียงรายงานจากชาวบ้านที่ไปสืบข้อมูลด้วยคำสั่งของฉีหยุ่นเฟิง
“บางทีนั่นอาจเป็นผู้สืบทอดสายเลือดโบราณมาโดยตรง ถึงจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามืดได้ หากว่าพวกเราได้รับชิ้นส่วนจากซุนหนี่มาบ้างแม้เพียงเล็กน้อย แล้วใช้โลหิตสัตว์ร้ายมาสลักลงไปด้วยอักษรกระดูกโบราณ เมื่อถึงตอนนั้น สิ่งนั้นจะกลายเป็นสมบัติที่สะท้านไปถึงสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย”

***ชุนหนี่ (Suan Ni) ตามความเข้าใจของผมคือกิเลน ครับขอทับภาษาเรียยแบบนี้นะครับ