…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

จี่ฉีเหม่ยได้คุกเขาลงพร้อมกับตอบถังซิ่วด้วยความเคารพว่า

“ท่านลอร์ดผู้สูงส่ง ข้าน้อยนั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับนายท่านมากนัก ข้าน้อยรู้เพียงแค่ว่าในหลายพันปีมานี้นายท่านได้ตามหาตัวท่านอย่างไม่ลดละและหลังจากที่นายท่านได้ข่าวว่าตัวของท่านได้โดนหักหลังโดยคนอื่นพร้อมร่ายกายและวิญญาณได้แตกสลายแต่นายท่านกลับไม่เชื่อและได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างมหาศาลเพื่อที่จะเรียนรู้เทคนิคการทำนายดวงวิญญาณจากจักรพรรดิเทียนจี่พร้อมกับรู้ถึงข่าวของท่าน ”

“แต่เพราะการที่จะพบที่นี่ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างมากและนายท่านได้แอบลอบเข้าไปในเกาะแห่งกาลเวลาเพื่อที่จะหลอกเป็นศิษย์สายตรงของปีศาจหยินซูหวูโชวและได้รับค่ายกลมิติปีศาจมาพร้อมกับใช้ทุกสิ่งที่เธอมีเพื่อจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับวางค่ายกลนี้แต่เมื่อถึงเวลาที่เราเปิดใช้ค่ายกลนั้นซูหวูโชวก็มาพบกับพวกเราเข้าและได้สร้างบาดแผลที่สาหัสให้แก่นายท่าน นั่นก็คือฝันร้ายแห่งนิรันด์”

ดวงตาของถังซิ่วนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงพร้อมกับเอ๋ยปากถามออกมาด้วยเสียงโทนต่ำว่า

“หากว่าข้าจำไม่ผิดนั้น กู่เสี่ยวเสวี่ยได้บอกว่าพวกเจ้าได้มาถึงโลกนี้หลายปีแล้วแต่ข้าเพิ่งจะมาถึงโลกนี้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น นี้มันเกิดอะไรขึ้น ? ”

จี่ฉีเหม่ยตอบกลับไปว่า

“นายท่านนั้นได้บรรลุหลักการเกี่ยวกับกาลอวกาศและเวลาแล้วแต่ตอนที่ได้รับบาดเจ็บจากซูหวูโชวนั้นทำให้ขอบเขตเวลาที่ได้ตั้งไว้นั้นคลาดเคลื่อนมาหลายปี ”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ทำให้คำถามที่ค้างคาใจของถังซิ่วได้กระจ่างโดยทันที

เขาเข้าใจโดยทันทีว่าทำไมห้องอาหารร้อยงานฉลองนั้นถึงได้มีค่ายกลเหล่านั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะศิษย์ของเขานั้นเองที่ใช้ทุกวิธีทางและจ่ายด้วยราคาที่มหาศาลเพื่อที่จะมาหาเขาที่โลกนี้

ตัวของเขาเองนั้นไม่ได้มีหัวใจที่แข็งเหมือนหิน การที่เขาถูกกระแทกด้วยคลื่นของความรู้สึกพวกนี้นั้นทำให้เขายิ่งเอ็นดูเธอมากยิ่งขึ้นขณะที่ความเกลียดในหัวใจของเขาต่อซูหวูโชวได้ประทุออกมา เขาได้สาบานกับตัวเองว่าเมื่อถึงคราวที่เขาได้กลับไปเหยียบยังดินแดนแห่งนิรันด์เมื่อไหร่ มันจะต้องจ่ายหนี้เลือดนี้อย่างสาสม

กู่เสี่ยวเสวี่ยที่กำลังยืนมองอยู่ด้านข้างนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอรู้ดีถึงความต้องการกว่าพันปีของอาจารย์เธอ แม้ว่าตอนนี้อาจารย์ของเธอจะไม่ได้สติแต่ก็ยังถูกกอดอยู่ในอ้อมอกของท่านอาจารย์ปู่ เธอรู้สึกสงสัยว่าอาจารย์ของเธอนั้นจะดีใจแค่ไหนกัน ?

“เมื่อไหร่ที่หยานเอ๋อ……..จะฟื้น”

ถังซิ่วหันหน้าไปทางจี่ฉีเหม่ยพร้อมถามออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ

จี่ฉีเหม่ยได้ตอบด้วยความเคารพว่า

“ครั้งก่อนที่นายท่านฟื้นขึ้นนั้นคือเมื่อสามเดือนที่แล้ว หากว่าตามหลักการแล้วจะต้องเป็นอีกประมาณสามเดือนและยิ่งไปกว่านั้นคือจำเป็นต้องใช้หินระงับวิญญาณเป็นจำนวนมหาศาล ตอนนี้นั้นเหลืออยู่เพียงพอแค่สำหรับสองปีครึ่งเท่านั้น หากว่ายังไม่สามารถรักษาได้ทันเวลานี้ก็เกรงว่านายท่านคง………….”

หินระงับวิญญาณ?

หินศักดิ์สิทธิ์ที่ไว้ยื้อชีวิตงั้นหรอ ?

ถังซิ่วกำหมัดแน่นพร้อมกับแววตาที่แน่วแน่ เขาจะไม่เสียเวลาไปหาหินเหล่านั้นแต่จะมุ่งมั่นเพื่อหาคริสตัลแห่งเวลาและหญ้าปีศาจคืนชีพให้เร็วที่สุด หินพวกนั้นไม่สามารถจัดการต้นตอของปัญหาได้ มันทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาเท่านั้นและมีเพียงแค่สองสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถรักษาเธอได้

“พวกเจ้าเข้าในการปรุงยาไหม ? ”

กู่เสี่ยวเสวี่ยและจี่ฉีเหม่ยมองที่กันและกันก่อนที่กู่เสี่ยวเสวี่ยจะพูดขึ้นว่า

“ศิษย์พอมีความรู้อยู่บ้าง ท่านอาจารย์ได้เคยสอนให้ศิษย์ปรุงยาเล็กน้อยแต่หากว่าเป็นตัวยาที่ล้ำค่านั้นศิษย์ไม่สามารถกลั่นมันออกมาได้”

จี่ฉีเหม่ยพูดออกมาว่า

“ข้าน้อยสามารถทำได้”

ถังซิ่วได้พูดต่อว่า

“วันนี้ข้าจะอยู่ดูแลหยานเอ๋ออยู่ที่นี่แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้าจะต้องกลับไปยังเมืองสตาร์ซิตี้พร้อมกับข้าเพราะข้ามีดอกบลัดท๊อปอยู่และสามารถนำไปกลั่นเป็นยารวมพลังดั่นได้ส่วนเรื่องวัตถุดิบนั้นเจ้าต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้ได้มันมา”

“ยารวมพลังดั่น ? ”

นัยน์ตาของจี่ฉีเหม่ยนั้นเบิกกว่างโดยทันที

เธอรู้ดีว่าในดินแดนแห่งนิรันด์นั้นได้มีการเล่าขานถึงยารวมพลังนี้ดี หากว่าสามารถที่จะกลั่นมันออกมาได้จริงๆนั้นจะสามารถยืดอายุของนายท่านของเธอได้น้อยสุดก็3-5ปีอย่างแน่นอน

“ขอน้อยขอขอบคุณท่านจากใจจริงท่านลอร์ดผู้สูงส่ง”

ถังซิ่วโบกมือพลางกล่าวว่า

“ที่นี่ไม่ใช่ที่ดินแดนแห่งนิรันด์ ขอให้เจ้าจำไว้ว่าอย่าได้คุกเข่าต่อหน้าข้าอีกในภายหลังและยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้านั้นไม่ใช่ถังซิ่วผู้สูงศักดิ์ที่เป็นนิรันด์สูงสุดอีกต่อไปแล้วแต่เป็นแค่ผู้บ่มเพาะเริ่มต้นเท่านั้น ถ้าเข้าใจก็ออกไปได้แล้ว ”

“ค่ะ!”

จี่ฉีเหม่ยและกู่เสี่ยวเสวี่ยได้ตอบออกมาด้วยความเคารพ

อุณหภูมิภายในห้องนี้นั้นเรียกได้ว่าถึงจุดที่ติดลบเลยก็ว่าได้มันหนาวเสียยิ่งกว่าไปอยู่ในภูเขาน้ำแข็งหลายเท่าเลยทีเดียวแต่ถังซิ่วเองก็อดทนเพื่อที่จะอยู่ในเจดีย์นี้กว่าครึ่งวันเพราะเขาไม่สามารถปล่อยศิษย์รักที่ไม่ได้พบมากว่าพันปีและเสียสละหลายสิ่งเพื่อเขานอนอยู่คนเดียวได้แม้ว่าเธอจะหมดสติอยู่ก็ตาม เขาต้องการที่จะใช้เวลาร่วมกับเธอแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

เช้าวันรุ่งขึ้น

ถังซิ่วได้ออกจากเจดีย์แห่งนี้พร้อมกลับไปยังชายฝั่ง เขาเห็นกู่เสี่ยวเสวี่ยและจี่ฉีเหม่ยที่กำลังยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วด้วยท่าทางที่เคารพ

“ท่านอาจารย์ปู่ โอหยางลูลู่มาที่นี่”

กู่เสี่ยวเสวี่ยพูดขึ้นด้วยพูดเคารพ

ถังซิ่วตอบอย่างเรียบเฉยว่า

“ในเมื่อเธอมาก็ดีจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเยอะ จี่ฉีเหม่ย เจ้ามีบัตรประจำตัวแล้วหรือยัง ? ”

“ยังค่ะ!”

จี่ฉีเหม่ยส่ายหัวโดยทันที

ถังซิ่วมองไปที่กู่เสี่ยวเสวี่ยพร้อมพูดขึ้นว่า

“เจ้าไปช่วยเธอทำบัตรประจำตัวซะ การอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่มีมันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาอย่างมาก พาฉันไปพบโอหยางลูลู่ด้วย ”

“ท่านอาจารย์ปู่ ท่านต้องการให้เธอเป็นคนขับรถ ? ”

กู่เสี่ยวเสวี่ยได้เผยยิ้มพร้อมเอ่ยปากถามออกมา

ถังซิ่วได้หยุดเท้าของเขาพร้อมหันกลับมาตอบว่า

“จี่ฉีเหม่ยนั้นไม่มีแม้แต่บัตรประจำตัว เจ้าคิดว่าการที่เราไม่มีเครื่องบินของโอหยางลูลู่นั้นเราจะสามารถรีบไปยังสตาร์ซิตี้ได้ไหมหละ ? ”

“สิ่งที่ท่านพูดนั้นถูกต้อง!”

กู่เสี่ยวเสวี่ยได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆกว้างขึ้น เธอรู้จักนิสัยของโอหยางลูลู่ดีและพบว่าเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์ของตระกูลโอหยางที่หยิ่งยโสนั้นได้ตามติดอาจารย์ปู่ของเธอต้อยๆ ท่านอาจารย์ปู่นั้นมีเสน่ห์ขนาดนั้นเลย ? ถึงสามารถมัดใจเธอได้ ?

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที

ที่ลานจอดรถของห้องอาหารร้อยงานฉลอง โอหยางลูลู่กำลังมองไปที่ถังซิ่วด้วยดวงตาที่เบิกกว้างเหมือนไข่ห่านด้วยความโมโหและโห่ร้องออกมาว่า

“ว่าไงนะ ? นายจะให้ฉันไปเป็นคนขับรถให้นายอีกแล้ว ? อย่าหวังเลย ! ป้าคนนี้นั้นออกคำสั่งคนอื่นเท่านั้น ไม่มีสักครั้งที่จะทำตามคำสั่งใครหรอกหยะ ! ฉันไม่ทำตามคำพูดของนายอย่างแน่นอน”

ถังซิ่วพูดเป็บนัยๆว่า

“ลูลู่ ฉันจำคำพูดของเธอก่อนหน้านี้ได้นะว่าพวกเรานั้นเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ ? หากว่าเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องช่วยกันใช่ไหม ? เธอไม่มีบัตรประจำตัวและมันจะเป็นเพียงแค่ฝันของคนโง่เท่านั้นที่จะไปเมืองสตาร์ซิตี้ การเป็นเพื่อนนั้นหากว่าเพื่อนต้องลำบากเราก็ต้องช่วยเหลือไม่ใช่หรอ ? จะให้ฉันยืมเครื่องบินของเธอหน่อยได้ไหม ? ”

“นายยยย……….”

โอหยางลูลู่ไม่เคยคาดคิดเลยว่าถังซิ่วนั้นจะใช้คำพูดของเธอเพื่อพูดมัดตัวเธอเอง เธอในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเสียเพื่อนอย่างถังซิ่วไปแต่เธอเองก็ไม่อยากเสียหน้าและพูดออกมาว่า

“จริงๆแล้วการช่วยเหลือนายนั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนักหรอกนะ อย่างไรก็ตาม! ฉันเป็นคนที่ชอบฟังคำพูดสรรเสริญและหากว่านายสามารถทำให้ฉันพอใจได้แล้วละก็ ฉันจะจัดการเรื่องเครื่องบินโดยทันทีและจะไปส่งนายด้วยตัวเองเลย! ”

ถังซิ่วได้พูดออกมาว่า

“ลูลู่ เธอเป็นคนที่สวยงามและน่าดึงดูดแถมมีรูปร่างที่สง่างามและบอกว่าเธอนั้นเป็นที่รักของชายทุกคน ดอกไม้เห็นก็จะต้องเบ่งบาน เธอ … เธอเป็นคนใจดีและจะต้องพาเราไปที่เกาะจิงเหมินใช่ไหม?”

“พุฟฟฟฟฟฟฟฟ”

กู่เสี่ยวเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านนั้นถึงกับสำลักออกมาและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

มุมปากของโอหยางลูลู่ได้กระตุกอย่างรุนแรงก่อนที่เธอจะโห่ร้องออกมาด้วยความโกรธว่า

“ถังซิ่ว นี่นายจงใจใช่ไหม ? นายคิดว่าความจำของฉันไม่ดีงั้นหรอ ? ถึงได้มองฉันเป็นเหมือนคนสมองช้า ฉันจำคำพูดนี้ของนายได้ดีและแต่ละคำที่นายพูดออกมาแต่ละพยางค์นั้น………………ไมต่างกับก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ”

เธอได้เน้นยำคำพูดที่ว่า “ไม่ต่างกับก่อนหน้านี้”อย่างหนักหน่วยขณะที่เธอพูดออกมา

“……….”

ถังซิ่วนิ่งเงียบ

กู่เสี่ยวเสวี่ยได้รับหน้าแทนว่า

“ลูลู่ อย่าทำให้ท่านอาจารย์ปู่ต้องรู้สึกลำบากใจสิ ผู้อาวุโสจี่นั้นต้องไปทำเรื่องสำคัญกับท่านอาจารย์ปู่ที่เมืองสตาร์ซิตี้ เธอช่วยเราหน่อยสิ !”

โอหยางลูลู่จ้องไปที่ถังซิ่วอย่างดุร้านก่อนที่เธอจะพูดออกมาอย่างไม่เต็มใจว่า

“ช่างมันเถอะ เห็นแก่หน้าของเสี่ยวเสวี่ยแล้วฉันจะไม่เอาเรื่องนายในวันนี้ ไปสิ! ยังไงฉันกับชูยี่เองก็ยังมีเรื่องที่ค้างคากันอยู่พอดีและกำลังตั้งใจจะไปที่เมืองนั้นเช่นกัน ฉันจะให้นายติดเครื่องไปด้วยแล้วกัน !”

“ขอบคุณมาก!”

ถังซิ่วได้พูดออกมาพร้อมกับพยักหน้า

ตอนที่ถังซิ่วได้มาถึงเมืองสตาร์ซิตี้นั้นก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว หลักจากที่ไปยังวิลล่าของเขาและได้มอบดอกบลัดท๊อปแก่จี่ฉีเหม่ยและให้เธอนั่งรถไปยังตลาดสมุนไพร เขาก็ตัดสินใจที่จะกลับไปโรงเรียนเพื่อรายงานเรื่องที่ไม่ได้มาเข้าเรียนในช่วงเช้าและไม่ได้ทบทวนบทเรียนให้แก่พวกหยวนชูหลิง

ที่ห้องวีไอพีของโรงพยาบาล ถังซิ่วกำลังนั่งจ้องแม่ของเขากำลังทานอาหารได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“รสชาติดีไหมครับ ? อาการของแม่เป็นอย่างไรบ้าง ? ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไหม ? ”

ซูหลิงหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ลูกน้อย แม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว ลูกมาที่นี่ได้ไงกัน ? ที่โรงเรียนกำลังสอนกันอยู่ไม่ใช่หรอ ? ”

ถังซิ่วได้ตอบทันทีว่า

“จริงๆแล้วโรงเรียนนั้นได้สอนเนื้อหาไปหมดแล้วและเดือนนี้เป็นช่วงที่เขาจะให้ทบทวนแต่ผลคะแนนของผมค่อนข้างดีและสามารถเข้าใจเนื้อหาได้หมดแล้ว อาจารย์ฮั่นนั้นรู้เรื่องของแม่แล้ว เธอจึงอนุญาตให้ผมมาที่โรงพยาบาลนี้”

ซูหลิงหยุนพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“อืมมมม แม่รู้แล้ว เมื่อวานนี้เธอได้มาเยี่ยมแม่ที่นี่ เธอเองก็ได้ยกนิ้วและชื่นชมเรื่องผลคะแนนของลูกเช่นกัน! แม่รู้ว่าลูกนั้นเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์อยู่แล้ว อ่อใช่ ลูกทานอะไรมาหรือยัง ? มากินกับแม่เถอะ”

ถังซิ่วได้โบกมือพร้อมกับพูดว่า

“ผมยังไม่หิวครับ ก่อนหน้านี้ผมได้กินมาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามอาจารย์ฮั่นมาที่นี่ได้อย่างไรกัน ? ผมยังไม่ได้บอกเลขห้องเธอด้วยซ้ำ! ”

ซูหลิงหยุนตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“เธอน่าจะไปถามมาจากคนอื่นแหละ!”

ในขณะที่กำลังพูดกันอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับผู้อำนวยการหลี่ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มและมือที่กำลังถือแฟ้มเอกสาร

“โอ้ ผู้อำนวยการหลี่มาแล้ว มา มา รีบนั่งเถอะค่ะ! ”

ซูหลิงหยุนที่กำลังทานข้าวอยู่นั้นได้รีบพูดและจะลุกขึ้นเพื่อเชิญเขาอย่างรวดเร็ว

หลี่ฮงจี้ได้ตอบกลับทันทีว่า

“ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอกครับ คุณนั่งทานข้าวเถอะ ถังซิ่ว ใบรับรองของเธอได้ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีปัญหาในการออกใบรับรองนี้อยู่บ้างแต่ฉันได้ใช้ชื่อของตัวเองเป็นประกันดังนั้นพวกเขาจึงได้ยอมออกให้แต่โดยดี หลังจากนี้เธอคือหมอรับเชิญของโรงพยาบาลเราอย่างเป็นทางการแล้ว เธอต้องการที่จะมาตรวจในวันไหนงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วที่ได้หยิบแฟ้มเอกสารไปพร้อมกำลังเปิดดูผ่านๆนั้นได้พูดออกมาว่า

“รอหลังจากที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัย!เพราะแม่ของฉันจะต้องเป็นกังวลอย่างแน่นอนหากว่าฉันเข้ารับการตรวจเลย”