เกี่ยวกับสถานะที่สูงส่งในโรงเรียนของฮั่นชิงหวูนั้นเขาเองก็ได้รู้อย่างชัดเจนก่อนแล้ว เขาเองก็เคยได้ยินเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเธอมาบ้าง แต่ไม่คิดเลยว่าเขาและเธอจะมีความเกี่ยวข้องกันแบบนี้

หลังจากที่ได้รู้ความจริงทั้งหมด ข้อสงสัยภายในตัวเขาก็ได้รับการยืนยันทั้งหมด

ตัวเขาเองที่สอบเข้าได้ที่หนึ่งแต่ไม่เคยได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่นเลย ในทางกลับกันตอนนี้ตัวเขาที่เกรดเฉลี่ยตกต่ำแต่กับได้รับรางวัลนั้น

หลังจากเหตุการณ์นั้น ตัวเขาเองได้รับค่าชดเชยอย่างมากมายพร้อมกับเหรียญกล้าหาญ

สมองของเขามีปัญหา, ฮูฉิวเชงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำแต่โรงเรียนก็ยังไม่ไล่เขาออกแต่กลับให้เขาเข้าเรียนที่ห้องหลัก

“อาจารย์ฮั่น, มะกี้อาจารย์บอกว่าจะปกป้องผมตลอดไปซินะ ? ”

หลังจากที่ได้มองอาจารย์อยู่เขาก็ได้เอ๋ยปากถามออกไป

“อื้มมม!!!! ”

ฮั่นชิงหวูรีบตอบกลับโดยไม่ต้องยั้งคิด

“อาจารย์ฮั่น, และคุณก็กล่าวอีกว่าคุณจะดูแลผมไปชั่วชีวิตสินะ ? ”

ถังซิ่วถามต่อ

“อื้ม ! ”

ฮั่นชิงหวูก็พยักหน้าเช่นเดิม

“อาจารย์ฮั่น, ถ้าเกรดผมอยู่ท้ายห้องหละ คุณจะทำยังไง ? ”

ถังซิ่วได้ถามอีกครั้ง

“ฉันน….ฉันนน….. อย่างมากก็แค่เสียเงินเดือนไปหนึ่งเดือนเท่านั้นแหละ ”

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้พนันไว้กับฮูฉิวเชงนั้นทำให้เธอไม่สามารถที่จะสงบได้ แต่เธอก็ไม่อยากที่จะเพิ่มความกดดันให้กับถังซิ่วมากไปกว่านี้จึงได้ตอบไปแบบนั้นพร้อมถอนหายใจ

“อาจารย์ฮั่น , คุณอย่าลืมสิ่งที่คุณพึ่งจะพูดไปเมื่อกี้นี้หละ ,การสอบรายเดือนครั้งนี้ผมจะสอบอย่างตั้งใจและจะทำให้แน่ใจว่าฮูฉิวเชงต้องเสียใจมากไปกว่านั้น จะต้องเสียดายจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว”

เมื่อเห็นใบหน้าของฮั่นชิงหวูที่กำลังดูไม่สบายใจ ถังซิ่วไม่สามารถที่จะทนแกล้งเธอต่อไปได้อีก

หลังจากพูดจบถังซิ่วก็ได้เดินออกไปและปล่อยให้ฮั่นชิงหวูนั้นอยู่ในห้องเพียงคนเดียว

“แปลกจริงๆทำไมไอคนนี้มันถึงได้พูดคล่องแบบนี้ รู้สึกเหมือนว่ากำลังกระโดดลงไปในหลุมพรางด้วยตัวเองอย่างงั้นแหละ ทำไมรู้สึกเหมือนว่าเขาดูไม่เหมือนคนที่สมองมีปัญหาเลย ”

“หยวนชูหลิงเองก็ได้บอกว่าถังซิ่วนั้นได้หายจากอาการป่วยที่ได้รับจากอุบัติเหตุเมื่อครั้งนั้นแล้ว คะแนนในการสอบของเขาต้องพุ่งทะยายอย่างแน่นอน ”

“แต่ตลอดเวลาที่ฉันสังเกตมาเดือนนี้เขาแทบจะไม่มองกระดานด้วยซ้ำ ไม่ฟังที่อาจารย์สอนซักนิด พลิกหนังสือไปมา นั่งไม่ทำอะไรอยู่สองเดือนเต็ม เหม่อลอยไปวันๆ”

….

หลังจากที่กลับมาที่ห้องสิบแล้วในขณะที่เห็นถังซิ่วที่กำลังเดินเข้ามา หยวนชูหลิงอดไม่ได้ที่จะเอ๋ยปากถาม

“ลูกพี่, อาจารย์ฮั่นได้ดุอะไรนายหรือเปล่า? ”

“เปล่า, อาจารย์ได้ให้กำลังใจฉันและบอกให้ฉันตั้งใจสอบ, นายหละรู้สึกเป็นยังไงบ้าง ?”

ถังซิ่วส่ายหน้าและรีบถามด้วยความเป็นห่วง

“หลังจากที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้วไม่รู้สึกถึงแรกกดดันก่อนหน้านี้เลย แถมยังอยู่ใต้การคุ้มครองของเฉิงเยี่ยนหนาน, เกือบจะทุกคนในห้องไม่มีใครกล้ารบกวนเราเลย เดือนนี้ฉันสามารถเรียนรู้ได้อยู่ในระดับที่ดี ฉันมั่นใจว่าน่าจะสอบเข้าวิยาลัยดีๆได้ ”

หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่งเขาตอบออกมาด้วยเสียงใส

“มหาวิยาลัยธรรมดาไม่ได้,เป้าหมายของเราคือ มหาวิทยาลัยชั้นนำ ”

ถังซิ่วได้ตบไปที่บ่าของหยวนชูหลิง

หยวนชูหลิงเมื่อได้ยินคำพูดนั้นทำให้เขามองแปลกๆ, เขาอยากที่จะปฏิเสธคำพูดของถังซิ่วแต่หลังจากที่เห็นการกระทำของถังซิ่วในเดือนนี้แล้วนั้น เขาได้แต่เงียบไว้

แม้ว่าจะเป็นแค่การสอบรายเดือนแต่นักเรียนมัธยมศึกษาที่สามและอาจารย์ประจำชั้นจะให้ความสำคัญกับมันเป็นอย่างมาก เพราะข้อสอบนี้มีระความรู้พอๆกับการสอบเข้าของวิทยาลัย

ในการสอบนั้นหนึ่งห้องสอบจะมีนักเรียนสองห้องมาสอบรวมกัน มากไปกว่านั้นผู้คุมสอบที่ได้รับการอบรมมาโดยเฉพาะจะมาคอยนั่งตรวจคนโกงข้อสอบ

“ถังซิ่วอย่ามองไปรอบๆสิ ตั้งใจสอบนะ! ถ้านายไม่สามารถที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับได้ ฉันจะต้องผิดหวังในตัวนายอย่างมากๆ ”

ก่อนที่การสอบจะเริ่มขึ้นก็ได้ยินเสียงของเฉิงเยี่ยนหนานที่อยู่ข้างหลังเขาดังขึ้น

“มาพยายามไปด้วยกันเถอะ ! ”

ถังซิ่วยิ้มพร้อมกับมองไปที่เฉิงเยี่ยนหนาน หลังจากนั้นได้หยิบอุปกรณ์การสอบของตัวเอง

“หลังจากที่คะแนนสอบเดือนนี้ออก เธอจะต้องตกใจจนช๊อคแน่ ”

ไม่นานผู้คุมสอบก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระดาษข้อสอบ

ผู้คุมสอบไม่ได้แจกกระดาษข้อสอบโดยทันที แต่ได้กวาดสายตาที่ดุร้ายไปทั่วทั้งห้องสอบมองดูท่าทีของผู้เข้าสอบพร้อมแจกกระดาษให้ทีละคน

หลังจากที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าของถังซิ่วแล้วนั้น ใบหน้าผู้คุมสอบได้แสดงให้เห็นถึงความสมเพชออกมา

ถังซิ่วนั้นยิ้มเจือนๆ เพราะอาจารย์ที่คุมห้องสอบนั้นคืออาจารย์สอนฟิสิกส์สมัยที่เขายังอยู่ในห้องหลัก เซี่ยหมิงจี้ไม่เคยคิดเลยว่าเขานั้นจะมาเป็นอาจารย์คุมสอบ

หลังจากที่ได้รับกระดาษข้อสอบแล้ว เขายังไม่ได้เริ่มลงมือทำข้อสอบโดยทันที แต่เปิดตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้ายเพื่อเช็คว่าข้อสอบถูกต้องไม่ขาดไม่เกิน

ในชั่วขณะต่อมา ปากกาของถังซิ่วเหมือนมังกรที่กำลังแหวกว่ายอยู่บนท้องฟ้าเขาเขียนคำตอบแต่ละข้ออย่างรวดเร็ว

เกือบจะครึ่งชั่วโมงก็เหลือแค่ ข้อสอบเรียงความ

“ใครๆก็บอกว่า รักของพ่อนั้นดั่งภูผา แล้วรักของแม่หละเหมือนดั่งอะไร ? เหมือนดั่งแสงอาทิตย์เหมือนดั่งลมในฤดูใบไม้ร่วงหรือเหมือนแสงที่อบอุ่นในตอนกลางคืน โปรดเขียนเรียงความเกี่ยวกับความรักของแม่ไม่ต่ำกว่า1000คำ ”

หลังจากที่ได้เห็นหัวข้อเรียงความนี้ ถังซิ่วถึงกับช๊อค หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกของเขาก็พังทลาย น้ำตาเริ่มเอ่อนอง

ตั้งแต่สามขวบที่พ่อของถังซิ่วจากไป, เขาถูกผูกโดยโชคชะตาให้ต้องโตมาพร้อมกับแม่

ไม่เคยมีคำว่าพ่ออยู่ในสมองของถังซิ่วเลย แม่ของเขาเป็นคนเลี้ยงดูเขามา แม่ของเขาเป็นคนสอนมารยาทที่มีต่อผู้คนให้เขาหลังจากที่สมองของเขามีปัญหา แม่ของเขาก็ไม่เคยที่จะรู้สึกหมดความอดทนกับเขาเลยไม่ทิ้งเขาไปไหนกลับยังคอยดูแลเอาใจใส่

ความทรงจำเกี่ยวกับแม่ที่เขามีนั้นมีมากมาย, ในดินแดนแห่งนิรันดร์หมื่นปีนั้น ความทรงจำพวกนี้กลับยิ่งฝังลึกลงไปในจิตใจของเขาจนไม่อาจลืมเลือน

หลังจากที่อารมณ์เศร้าของเขาหลุดออกมาทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ

“เห็นหรือเปล่านั้นหนะ ไอคนที่กำลังร้องไห้อยู่หนะคือถังซิ่วคนที่เคยสอบได้อันดับหนึ่งของโรงเรียนเรา ตอนนี้ก็ได้อันดับหนึ่งแต่นับมาจากท้ายนะ ”

“ใช่, ทำไม่ได้ก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องร้องไห้เลย ไม่อายบ้างหรอ? หัวเค้าคงต้องมีปัญหาแน่ๆเลย”

“ในเมื่อสมองมีปัญหาก็กลับไปอยู่ที่บ้านสิ จะมาโรงเรียนเพื่ออะไร เกิดวันไหนได้ไปล่วงเกินใครขึ้นมาจะทำไง ?”

…….

เมื่อผู้คุมทั้งสองเห็นอาการน้ำตาคลอของถังซิ่วแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่แม้แต่จะปริปาก

แต่ถังซิ่วยังคงร้องไห้ต่อ มันจึงได้ปลุกเล้าบรรดาเหล่าผู้คุมสอบโดยทันที พวกเขาอยากจะเข้าไปเตือนถังซิ่ว ถึงขึ่นอยากจะไล่ออกจากห้องสอบ

ก่อนที่อาจารย์คุมสอบหนุ่มคนหนึ่งกำลังจะเดินไปเพื่อจัดการกับถังซิ่วที่โต๊ะ ก็ได้ถูกขวางไว้โดยอาจารย์เซี่ยหมิงจี้

“ถังซิ่ว, ตอนนี้เป็นเวลาของการสอบ ขอให้เธอตั้งใจทำอย่างดีที่สุดและใช้เวลาให้คุ้มเพื่อไม่ให้ส่งผลต่อการสอบ”

เซี่ยหมิงจี้ได้เคาะไปที่โต๊ะของถังซิ่วเบาๆพร้อมเตือนด้วยเสียงเบาๆ

เมื่อได้ยินคำเตือนของเซี่ยหมิงจี้ ทำให้ถังซิ่วค้นพบว่าเวลานั้นได้ผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาสอบอีกแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เขาจึงเริ่มที่จะเขียนเรียงความ

“อาจารย์เซี่ยหมิงจี้, ผมไม่ได้อยากจะว่าอะไรคุณหรอกนะ แต่ด้วยระดับของถังซิ่วแล้วนั้น แค่นั่งอยู่แบบนั้นมันไม่ได้ช่วยให้ได้คะแนนสอบหรอกนะ ”

ผู้คุมสอบอีกคนเอ้ยพูดกับอาจารย์เซี่ยหมิงจี้

“เด็กคนนี้นั้นน่าสงสาร ถ้าไม่ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนนั้น อนาคตของเขาจะต้องสดใสแน่นอน”

อาจารย์เซี่ยหมิงจี้ กล่าวด้วยความเสียดาย

“นั่นสินะ นี้แหละคือชีวิต สอบเข้ามาโรงเรียนเราได้เป็นอันดับหนึ่ง ตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งจากท้ายสุด ”

หลังจากจำเรื่องราวที่เกิดกับถังซิ่วได้แล้วนั้น หลานป้านไม่อาจไม่อาจทนถอนหายใจได้

“ใช่ ฉันยังจำได้เลยว่าก่อนหน้านี้นั้น เด็กคนนี้ได้รางวัลโอลิมปิกสาขาการฟิสิกส์ทำให้อาจารย์ที่สอนอย่างผมนั้นรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากต่างคนต่างพากันอิฉฉาในความสามารถเขา ใครจะคิดหละว่าวันดีคืนดีจะกลายเป็นแบบนี้ได้   ”

เซี่ยหมิงจี้ได้พูดพลางถอนหายใจ

“อาจารย์เซี่ย, คุณคิดว่าถังซิ่วจะกลับมาตามการเรียนการสอนได้ด้วยเวลาเพียงแค่สามเดือนได้หรือไม่พร้อมทั้งทวงศักดิ์ศรีเขาคืน ? ”

หลังจากที่ได้เห็นถังซิ่วเขียนเรียงความอย่างรวดเร็วแล้ว หลานป้านได้เอ๋ยปากถามเซี่ยหมิงจี้

เมื่อได้ยินคำถามนั้น ทำให้ตาเขาที่เคยเป็นประกายนั้นหม่นหมองลงโดยทันที

“มากกว่าหนึ่งปีที่ฉันเคยเฝ้าภาวนาขอให้เกิดปาฏิหาริย์นั้น แต่น่าเสียดายที่ปาฏิหาริย์นั้นมันไม่ปรากฏ ตอนนี้ถังซิ่วได้ถูกย้ายไปอยู่ห้องสิบแล้ว ต่อให้สมองเขากลับมาเป็นปกติ ความรู้ของเขาก็ยากที่จะตามทันอยู่ดี ”

หลานป้านรู้สึกขบขันเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเซี่ยหมิงจี้ตอบกลับอย่างจริงจัง เขายิ้มอย่างขมขื่นพร้อมส่ายหัวและเปลี่ยนหัวข้อสนทนา