…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คังเซี่ยนได้พูดกว่า
“ฉันคิดว่ามันคงจะดีถ้าเรากำหนดผลิตภัณฑ์ที่ 3 เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพมากกว่าเครื่องดื่มแล้วเราจะทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นสูง ฉันเชื่อว่าแม้ว่าราคาจะแพงไปเล็กน้อย แต่ผู้ที่ต้องการซื้อก็ยังซื้ออยู่ดี ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาจะแย่งกันซื้อเลยหละ ”
ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ?
ถังซิ่วคิดสักครู่แล้วพยักหน้าช้าๆ
“คำแนะนำนี้ดีทีเดียว เอาหละ เราจะกำหนดมันให้เป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพตามที่คุณแนะนำ หลังจากที่ฉันส่งราคาต้นทุนไปให้คุณก็ตัดสินใจราคาที่จะตั้งแล้วกัน ”
คังเซี่ยนพยักหน้า เมื่อเธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเสียงหัวเราะของกู่หยินดังขึ้นจากชั้นสองขณะที่เธอวิ่งลงบันไดและกระโดดใส่อ้อมแขนของถังซิ่ว
“ท่านอาจารย์มีแขกหรอค่ะ?”
เสียงของกู่หยินนั้นเป็นเสียงที่ไพรเราะและน่าฟังเป็นอย่างมาก
ถังซิ่วเองก็ชอบศิษย์คนใหม่นี้มาก ราวกับว่าเขาได้เห็นเงาของศิษย์ที่เป็นลูกบุญธรรมของเขาในดินแดนแห่งนิรันด์ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือ กู่หยินมีความมุ่งมั่นและอดทน ความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอนั้นไม่สามารถหาได้ในคนรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่คนที่โตแล้ว
นอกจากนี้เธอยังเป็นคนที่มีคุณธรรมและมีเหตุผล
ถังซิ่วลูบผมสีดำของเธอ ขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“เดี๋ยวจะแนะนำให้รู้จัก เธอมีชื่อว่าคังเซี่ยน เจ้าสามารถเรียกเธอว่าป้าคังเซี่ยนได้ ”
กู่หยินพยักอย่างน่ารักและยิ้มให้กับคังเซี่ยนอย่างนุ่มนวลขณะที่เธอพูดออกมาว่า
“คุณป้าคังเซี่ยนสบายดีไหมค่ะ? คุณกำลังคุยธุระกับท่านอาจารย์อยู่หรือไม่? โปรดอย่าโกรธหนูนะถ้าหยินหยินกำลังรบกวนคุณ หยินหยินจะขึ้นไปข้างบนทันที ~~~! ”
คังเซี่ยนมองไปที่ถังซิ่วและกู่หยินด้วยท่าทางแปลกๆ เธอไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะได้พบกับศิษย์ของถังซิ่วที่นี่ อย่างไรก็ตามสาวน้อยที่ฉลาดเหมือนเธอนั้นเป็นสิ่งที่หายากมากดังนั้นคังเซี่ยนจึงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“หนูชื่อว่าหยินหยินสินะ? ไม่เป็นไร ฉันคุยกับอาจารย์ของหนูเสร็จแล้ว ”
หลังจากที่พูดจบ เธอขยับสายตาของเธอที่ถังซิ่วแล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า
“บอส, คุณมีศิษย์มากแค่ไหนกัน?
ถังซิ่วได้ตอบว่า
“สองคน”
คังเซี่ยนถามว่า
“คุณสอนอะไรพวกเขา?”
“สิ่งที่ฉันสามารถสอนได้นั้นมีมากมายเหลือเกิน แต่มีหลายสิ่งที่คุณไม่สามารถเข้าใจได้ดังนั้นอย่าถามเลย ถ้าคุณไม่มีปัญหาอื่นคุณก็สามารถออกไปเลยตอนนี้ ”
นี่เป็นการส่งแขก?
เธอไม่รู้เลยว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อเธอมองไปที่ถังซิ่ว เธอเป็นที่เคารพนับถือในฐานะสุดยอดตำนานแห่งโลกธุรกิจซึ่งผู้ชายนับไม่ถ้วนอยากจะมีเวลาอยู่กับเธอ แต่เธอกำลังถูกส่งแขก?
และตั้งแต่ที่เธอมาที่นี่นั้นแม้แต่ชาซักถ้วยเธอก็ยังไม่ได้ดื่ม
เจ้านายแบบนี้นี้ …
หายาก
และหายากมาก!
หลังจากที่ได้กระซิบอยู่ในใจเธอก็ได้พูดออกมาว่า
“แล้วฉันก็ขอลาเลยแล้วกัน ถ้าฉันเจอปัญหาที่ไม่สามารถจัดการได้ฉันจะติดต่อมาหาคุณ ”
ถังซิ่วพยักหน้าแล้วเฝ้าดูเธอเดินออกไป จากนั้นเขาก็ถามกู่หยินด้วยรอยยิ้มว่า
“ไม่ใช่ว่าแม่ของเจ้าออกไปซื้อของข้างนอก? ทำไมถึงไม่ได้ออกไปพร้อมกับเธอหละ? ”
กู่หยินตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“แม่บอกว่าหนูเพิ่งฟื้นตัว ดังนั้นเธอจึงต้องการให้หนูอยู่ที่บ้านเพื่อพักผ่อน นอกจากนี้หนูเองก็ไม่อยากไปด้วยเหมือนกันท่านอาจารย์ เทคนิคการบ่มเพาะที่ท่านสอนให้หนูนั้นน่าสนใจจริงๆ หนูได้ลองสักสองสามครั้งแล้ววันนี้ก็สามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังงานที่ท่านบอกได้ มันเป็นเพียงการไหลเวียนของพลังงานนี้แปรปรวนเกินไปและหนูไม่สามารถควบคุมมันได้ ”
ถังซิ่วถามด้วยความตกตะลึงว่า
“เจ้ารู้สึกได้จริงหรอ? เร็วแค่ไหน? ”
กู่หยินพูดออกมาอย่างสับสนว่า
“เร็วแค่ไหน?หนูคิดว่าเมื่อพยายามครั้งแรก อ๊า ก็รู้สึกได้เลย! ”
ถังซิ่วถูจมูกของเขาขณะที่รอยยิ้มที่ฝืนๆได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา คนอื่นจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือนที่จะรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังงานหลังจากที่พวกเขาเริ่มฝึกฝนการบ่มเพาะ แต่ศิษย์คนนี้สามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังงานได้ภายในหนึ่งวันเท่านั้น กายศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์น้ำแข็งนั้นช่างเป็นอะไรที่ท้าทายกฎสวรรค์จริงๆ!
“หยินหยิน เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถรีบเร่งการบ่มเพาะได้ เนื่องจากเจ้าสามารถรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังงานได้แล้ว ให้ลองควบคุมมันอย่างช้าๆ หากว่าเจ้าสามารถควบคุมการไหลเวียนของพลังงานนี้ได้เมื่อไหร่ให้มาบอกข้าโดยทันที ”
ถังซิ่วได้พูดเตือนออกมา
กู่หยินพูดด้วยเสียงหัวเราะว่า
“หนูจำคำพูดของท่านอาจารย์ ”
ถังซิ่วลูบหัวเล็กๆของเธอและพูดว่า
“ไปหาอะไรเล่นเถอะ! ข้าต้องออกไปจัดการบางอย่าง อา, ถูกต้อง เมื่อแม่ของเจ้ากลับมาแล้ว บอกเธอว่าคืนนี้ข้าจะไม่รับประทานอาหารเย็นที่บ้านและถ้ามีของมาส่งก็ให้เธอรับไว้ให้ด้วย ”
“ได้เลยค่ะท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ”
กู่หยินยิ้มแล้ววิ่งออกไป
มันเป็นเวลามากกว่า2ปีแล้วที่เธอไม่ยิ้มและไม่หัวเราะ แม้ว่าเธอจะยิ้มบ้างเพื่อไม่ให้แม่ของเธอเศร้าใจและบังคับตัวเองให้มีความสุขและร่าเริง ในหัวใจของเธอตอนนี้คนที่เธอรักที่สุดนอกเหนือจากแม่ของเธอแล้วก็คือถังซิ่ว ก่อนหน้านี้เธอยังได้เรียนรู้คำพูดที่ว่า เมื่อได้เป็นอาจารย์ก็คือพ่อตลอดชีวิตและในเมื่อเธอไม่มีพ่อแล้ว ดังนั้นในใจของเธอนั้นถังซิ่วก็เลยเปรียบเสมือนพ่อของเธอ
หลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป ถังซิ่วได้ออกจากวิลล่าไป
เขาได้รู้เรื่องจากบั่นโฉวว่าซูชางเหวินได้มาหาแม่ของเขาเพื่อยืมเงิน นั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแวะไปที่ร้านอาหารและถ้าซูชางเหวินกล้าที่จะไปที่ร้านอาหารอีกครั้ง เขาก็ไม่ลังเลที่จะให้บทเรียนที่เจ็บปวดแก่มัน
หลังจากที่ได้ขยายร้านนั้น ร้านอาหารของซูหลิงหยุนก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารขนาดเล็กอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะขยายไปแล้วก็ยังไม่สามารถรองรับแขกของทางร้านได้พอ และตอนนี้ร้านอาหารก็ได้ขยายไปเป็นครั้งที่สองและนั่นทำให้มันเพียงพอที่จะรับแขกถึง80คนในเวลาเดียวกัน
เมื่อถังซิ่วมาถึงก็ได้เห็นแขกจำนวนมากอยู่ในร้านอาหารและเนื่องจากพนักงานเสิร์ฟเกือบทั้งหมดรู้ถึงตัวตนของถังซิ่วดี ดังนั้นพวกเขาจึงยิ้มและทักทายเขา
“สวัสดีครับ บอส!”
บั่นโฉวที่กำลังทำงานอยู่นั้นได้รีบวิ่งมาทันที
ถังซิ่วถามออกมาว่า
“แม่ของฉัน?”
บันโฉวได้ตอบกลับว่า
“บอสใหญ่กำลังทำบัญชีอยู่! เมื่อกี้ตอนที่ผมได้เอาชาไปเสิร์ฟนั้นดูเหมือนว่าเธอกำลังเป็นกังวลเรื่องอะไรบางอย่าง! ”
“เพราะซูชางเหวิน?”
คิ้วของเขาเหี่ยวย่นขณะที่พูด
บั่นโฉวยิ้มออกมาอย่างฝืนๆแล้วพูดว่า
“มันน่าจะเป็นเช่นนั้น! ภรรยาของซูชางเหวินเพิ่งออกจากร้านอาหารไปเมื่อ10 นาทีก่อนที่คุณจะมาถึง ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่น่ารำคาญจริงๆ ตอนแรกเธอก็ขอความช่วยเหลือจากบอสใหญ่และจากนั้นเธอก็อยากให้บอสใหญ่ช่วยพูดกับคุณให้คุณช่วยสร้างสะพานเชื่อมระหว่างชูชางเหวินและหลงกรุ๊ป ”
คิ้วของถังซิ่วยกสูงขึ้นทันที เขาหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อนึกถึงใบหน้าของป้าไร้ราคาของเขา เขาตบไหล่บั่นโฉวเบาๆ แล้วเดินไปที่ออฟฟิศ
“เสียงดังเอี๊ยด …”
ถังซิ่วผลักเปิดประตูและแอบถอนหายใจขณะที่เขาเห็นแม่นั่งอยู่ที่โต๊ะและกำลังมีความทุกข์ในขณะทำบัญชี จากนั้นเขาก็พูดว่า
“คุณแม่กำลังยุ่งอยู่หรือ?”
ซูหลิงหยุนยกหัวของเธอและลุกขึ้นยืนเมื่อเธอพบว่าคนนั้นเป็นถังซิ่วแล้วถามว่า
“ลูกน้อย ลูกเพิ่งกลับมาจากเมืองอื่น? คุณครูฮั่นบอกว่าลูกต้องไปเข้าร่วมการแข่งขันในเมืองอื่นเป็นเวลาถึงหนึ่งสัปดาห์ เช้านี้แม่ยังคิดว่าน่าจะถึงเวลาที่ลูกจะกลับมาแล้ว! ”
ตั้งแต่ที่ถังซิ่วนั้นไม่ต้องการจะโกหกแม่ของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อในขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ผมอยากจะกลับมาเร็วๆดังนั้นเมื่อเสร็จแล้วถึงรีบกลับมาเลย แม่ครับ ผมรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นแม่เริ่มมีหงอกขึ้นแล้วนะ การจัดการร้านอาหารนั้นเหนื่อยเกินไปสำหรับแม่หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่ก็อาจจะลองมอบหมายให้ลูกน้องจัดการแทนไหม สุขภาพของแม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ”
คำพูดของถังซิ่วทำให้หัวใจของซูหลิงหยุนอบอุ่นขึ้น เธอตบแขนของเขาด้วยท่าทางเอาแต่ใจขณะที่พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“แม่ไม่เหนื่อยหรอก สถานการณ์ของครอบครัวของเราเพิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นดังนั้นแม่ต้องใช้โอกาสนี้เพื่อหารายได้ให้มากขึ้นและเก็บออมไว้สำหรับลูก ไม่ใช่แค่ค่าเรียนมหาวิทยาลัยของลูกเท่านั้นแต่ลูกยังต้องมีภรรยาและต้องซื้อบ้านและลูกยังต้องการเงินเพื่อซื้อนมผงสำหรับหลานในอนาคตของแม่อีก ดังนั้นแม่จะต้องเก็บไว้ในอนาคตเพื่อลูก ” (*อ่านละอยากจะร้อง 5555)
“คุณแม่คิดไกลไปหน่อยแล้ว!”
ถังซิ่วไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ซูหลิงหยุนพูดด้วยเสียงหัวเราะว่า
“นี่เป็นสิ่งที่แม่ควรทำเพื่ออนาคตของลูกชายแม่สิ อา,ใช่แล้ว การแข่งขันของลูกเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ที่เท่าไหร่กัน ”
ถังซิ่วตอบด้วยรอยยิ้มว่า
” ผู้นำโรงเรียนพอใจมากกับผลลัพธ์ คุณแม่ ผมเพิ่งเห็นแม่ทำบัญชีหนิ แม่มาทำบัญชีในช่วงกลางวันได้อย่างไร ถ้าผมจำไม่ผิดแม่มักจะทำบัญชีตอนเย็นเสมอ ”
เมื่อได้ยินถังซิ่วพูดเรื่องนี้ขึ้น ซูหลิงหยุนก็รู้สึกไม่สบายใจแล้วพูดว่า
“เพราะลุงของลูกนะสิ ธุรกิจของเขาเพิ่งประสบปัญหาและตอนนี้เขาก็ขาดเงิน เมื่อวานนี้เขามาที่นี่และต้องการยืมเงิน! แม่ประหยัดเงินมาตั้งแต่ธุรกิจของเราดีขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แต่หลังจากที่เราขยายร้านไปเมื่อเร็วๆนี้นั้นก็ทำให้แม่เหลือเงินอยู่ไม่กี่แสนเท่านั้นแต่ลุงของลูกเคยช่วยเรามาก่อน ดังนั้นแม่จึงคิดว่าจะให้เขายืมเงิน ”
ถังซิ่วพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรงขณะที่เขาพูดขึ้นว่า
“เขาไม่ได้ช่วยแม่ มันเป็ฯเพียงการกุศลเท่านั้น แม่ก็รู้ดีว่าเขาเป็นอย่างไรในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผมแนะนำให้แม่ทำเป็นไม่สนใจเขาแล้วปล่อยให้เขารู้สึกกับความกังวลซะบ้าง ”
ซูหลิงหยุนลังเลเล็กน้อยขณะที่เธอพูดด้วยรอยยิ้มฝืนๆว่า
“แม่เข้าใจสิ่งที่ลูกพูดดี อ๊า แต่……ยังไงเขาก็ยังเป็นลุงแท้ๆของลูกนะและเป็นพี่ชายแท้ๆของแม่ โอ้…….มันจะเป็นบาปเอานะ! ”
ถังซิ่วได้ตอบเธอว่า
“แม่ ผมคิดว่าคนบางคนนั้นจะไม่ตระหนักถึงบางสิ่งหากว่าเขายังไม่ได้รับบทเรียนจากมัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเราเองก็ไม่ได้มีความมั่งคั่งมากนัก แม้ว่าเราต้องการที่จะช่วย เราก็ขาดพลังที่จะช่วยเขาอยู่ดี ผมคิดว่าแม่ไม่จำเป็นต้องให้เงินกับเขา เขาจะคิดอย่างว่านั้นเป็นเงินที่ให้เพราะความสมเพศและการกุศลจากเราเท่านั้น เขาจะไม่เพียงแต่จะไม่ขอบคุณเราเท่านั้นทว่าเขาจะเกลียดเรามากซะยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ”
“ลูก…”
ซูหลิงหยุนจ้องที่ถังซิ่ว เธอไม่เคยคิดว่าลูกชายของเธอจะสามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ เมื่อวานนี้เธอได้เอาเงิน100,000 หยวนไปให้ซูชางเหวินแต่เขากลับปฏิเสธที่จะรับมัน เขาไม่เพียงแต่ไม่ขอบคุณเท่านั้นแต่ยังสาปแช่งเธอให้ไปตายและเมื่อนึกถึงเรื่องตอนนั้นแล้วทำให้เธอรู้สึกว่าเธอได้ถูกทำร้ายอย่างมาก
แล้วเธอต้องไม่ช่วยเขาจริงๆเหรอ?
แต่ถ้าเธอไม่ช่วยเขาแล้วเขาจะรอดพ้นความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างไร?
ถังซิ่วมองหน้าสีหน้าของแม่ เขารู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรดังนั้นเขาก็ได้เน้นย้ำว่า
“แม่ ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวเราไม่เพียงพอที่จะเติมช่องว่างระหว่างฟันของเขาได้ด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงกระทำที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น นอกจากนี้เขายังทำธุรกิจมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เขาไม่เพียงแต่มีความมั่งคั่งมากมายแต่เขาก็ยังได้สร้างความสัมพันธ์กับผู้คนมากมายเช่นกัน ถ้าเขาขาดเงินจริงๆทำไมเขาต้องรีบมายืมเงินจากเรา? เขารู้ดีว่าสถานการณ์ในครอบครัวของเราเป็นอย่างไรและผมคิดว่าการที่เขามายืมเงินจากเรานั้นต้องการเพียงเพื่อจะทำให้เราอับอายเท่านั้น ถ้าเขาขาดเงินจริงๆแล้วละก็ เขาต้องไปยืมเพื่อๆของเขาแล้วอย่างแน่นอน ”
“นี่……”
ซูหลิงหยุนเปิดปากของเธอแต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี