ท่ามกลางแนวเขาอันสูงใหญ่ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูงชัน หุบเขาลึกขนาดมหึมาและทิวเขาที่ตระหง่านขึ้นมามากมาย “หมู่บ้านหินผา” ตั้งอยู่ ณ ใจกลางธรรมชาติเหล่านั้น ราวกับป้อมปราการแข็งแกร่งและลี้ลับ

แสงตะวันส่องทะลุกลุ่มเมฆ กระจัดกระจายกลายเป็นแสงสีทอง อาบไล้ผู้คน ช่วยเพิ่มความอบอุ่นเข้าถึงภายในร่าง

ในลานกว้างขนาดใหญ่ หน้าหมู่บ้าน  เด็กสิบสองรวมตัวเป็นกลุ่มประกอบด้วยเด็กวัย 4 ขวบ จนถึง มากกว่า 10 ขวบ หันหน้าประชันแสงอาทิตย์ ทั้งกำลังฝึกฝนร่างกาย ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยเสียง “ฮึ่บ” “ย่าห์”  ใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งหลายกลับเผยสีหน้าดุดัน เด็กที่โตกว่าต่างก็ปลดปล่อยพลังดั่งพยัคฆ์  ส่วนเด็กน้อยต่างฝึกฝนท่วงท่าให้ถูกต้องและมั่นคง  ชายวัยกลางคน ผู้มีร่างกายแข็งแกร่งดุจพยัคฆ์ ปราดเปรียวดั่งเสือดาว สวมใส่ด้วยเสื้อผ้าจากหนังสัตว์ ผิวสีทองแดง  ประกอบกับผมสีดำดั่งหมึกชั้นดี สยายยาวประบ่าทั้งสองข้าง ดวงตาที่เจิดจ้าและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา จดจ้องไปเด็กแต่ละคน อย่างเข้มงวด ใช่แล้ว! ชายผู้นั้นคือผู้ฝึกสอนเหล่าเด็กๆนั่นเอง

“เมื่อแสงตะวันขึ้น สิ่งมีชีวิตต่างก็เคลื่อนไหว ลมปราณแห่งชีวิต(Air of life) จะทรงพลังมากที่สุดในเวลานั้น  แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถกินแสงตะวันแทนอาหารและไม่สามารถสูดลมปราณดั่งตำนาน”

“แต่พวกเรายังได้รับประโยชน์มหาศาลจากแสงตะวัน หากฝึกฝนร่างกายท่ามกลางแสงตะวัน  พลังจากแสงตะวันจักซึมซับเข้าสู่ร่างกาย  กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก และโลหิตจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จงฝึกฝนให้หนัก หากพวกเจ้าอยากอยู่รอดภายในหุบเขาแห่งนี้”  ชายกลางคนผู้ยืนอยู่หน้ากลุ่มเด็ก เต็มไปด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยเตือนด้วยความเคร่งเครียด ตอนนั้นเองก็ตวาดอีกไปครั้ง “เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจ ครับ” เหล่าเด็กๆมีสีหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิต ตอบกลับไปเสียงดัง

และนั่นคือลักษณะของรูปแบบชีวิตจากอดีตภายในหุบเขา  บางครั้ง มีปีกขนาดใหญ่บดบังเหนือท้องฟ้าปรากฏเงามหึมาทั่วพื้นดิน ปรากฏอสูรร้ายคำรามเหนือยอดเขา ราวกับกำลังกลืนกินดวงจันทร์ กลายเป็นความเลวร้ายคืบคลานมาหา เพื่อมิให้ลืมเลือน อีกทั้งยังพิษร้ายน่าหวาดผวา คอยกัดกินอยู่ภายในหุบเขา

“เข้าใจครับ” เด็กตัวน้อยๆ ผู้ถูกทำให้กลัวตะโกนตอบไป

เหล่าเด็กเพียงแค่ 1 หรือ 2 ขวบ หลังจากเรียนรู้การการเดินแบบง่ายๆ สองสามเดือน ก็พร้อมแล้วสำหรับการฝึกฝน พวกเขาจะต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง ไปพร้อมกับเด็กโต กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่จะพบเห็นเด็กเหล่านั้นท่ามกลางกลุ่มเด็กโต

 

“ฮึบ ฮึบ ฮ่ะ ย่าห์ ” เสียงออกมาจากปากเด็กน้อยคนหนึ่ง และมือขาวอวบอ้วนนั้น พยายามอย่างมากที่จะเคลื่อนเป็นคลื่นเด็กน้อยพยายามอย่างหนักที่จะเลียนแบบท่วงท่าจากเด็กโต แต่เพราะความเยาว์วัยเกินไป ท่วงท่าจึงดูเอียงไปมา การเคลื่อนไหวดูไม่มั่นคงและ สะเปะสะปะ เมื่อรวมเข้ากับคราบน้ำนมสีขาวที่มุมปาก แลดูน่าขบขันยิ่ง

เด็กน้อยผู้นั้นช่างดูงดงาม น่ารัก ประกอบกับผิวที่ขาวและอ่อนนุ่ม และดวงตากลมโตสดใส ร่างกายดุจตุ๊กตากระเบื้องชั้นดี อีกทั้งความเคลื่อนไหวของเด็กน้อยที่ดูอ้อนแอ้น พร้อมกับเสียงทีเปล่งออกมาจากปากนุ่มๆ ทำให้ดูน่ารักและไร้เดียงสา ยังมีผู้อาวุโสที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนก้อนหินใหญ่ พร้อมเผยรอยยิ้มออกมา  สร้างความแปลกและสงสัยใจให้แก่กลุ่มเด็กโตยิ่งนัก

ยิ่งไปกว่านั้น ชายวัยฉกรรจ์ผู้มีร่างกายแข็งแกร่ง ยืนเปลือยอกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อเลื่อมเป็นเงา พร้อมทั้งยิ้มออกมา พวกเขาคือกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ทำหน้าที่ล่าอสูร และปกป้องหมู่บ้านนั่นเอง พวกเขาต่างก็ร่วมฝึกฝน บางคนถือกระดูกขนาดใหญ่ที่ได้จากชิ้นส่วนของอสูรโครงกระดูกยักษ์เป็นเสมือนไม้พลอง อีกทั้งยังมีเหล่าบุคคลผู้มีผิวสีดำล้วน ทุกคนล้วนถือดาบเหล็กกล้าชั้นดี  และทันใดนั้นเอง เพียงชายผู้นั้นสะบัดฝ่ามือด้วยพลังเต็มล้น สร้างเสียงกรีดอากาศสะท้านดุจฟ้าผ่า

สิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่อาศัยนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากและเลวร้ายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว ภยันตรายจากเหล่าอสูรร้าย หรือพิษร้ายแรงจากเหล่าแมลง และการหาอาหารที่แสนยากลำบากเพื่อการอยู่รอด มีเหล่าผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตายเพราะความโหดร้ายนี้ ก่อนจะมาเป็นหมู่บ้านหินผาดั่งปัจจุบัน หากพวกเขาต้องการอยู่รอด ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าชายหนุ่ม คนแก่ หรือแม้แต่เด็กก็ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น

“จงมีสมาธิ” ชายวัยกลางคน ผู้รับผิดชอบเกี่ยวการฝึกฝนกลุ่มเด็กในหมู่บ้าน ตะโกนด้วยเสียงดัง ทำให้เหล่าเด็กๆทั้งหลายรีบกลับไปจดจ่อกับการฝึกฝน ท่ามกลางประกายแสงตะวันเช่นเดิม

“ฮึ่บ  ย่าห์…..เหนื่อยจัง” เด็กน้อยพ่นลมหายใจออกมา พร้อมทิ้งตัวนั่งลงไปบนพื้น พลางใช้สายตากลมโตมองไปที่การฝึกฝนของกลุ่มเด็กโต เพื่อจดจำการเคลื่อนไหว เด็กน้อยเข้าใจสิ่งเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็สับสนอยู่เช่นกัน เด็กน้อยพลันเหลือไปเห็นนกกระจอกห้าสี ที่กำลังกระโดดเด้งไปมาอยู่ใกล้ๆ ราวกับจะท้าทายเด็กน้อย ทันใดนั้นเองเด็กน้อยก็กระโจนไปหานกกระจอกห้าสี แต่โชคไม่ดีนัก ที่ลื่นล้มไปเสียก่อน เด็กน้อยลูบไปที่ก้นน้อยๆของตนอย่างเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดก็ไม่ได้ทำให้เด็กน้อยร้องไห้งอแง หรือโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด ท้ายที่สุด เด็กน้อยก็ถอนหายใจ ก่อนจะไล่ตามอย่างไม่ยอมแพ้

“เอาล่ะ พอได้แล้ว”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกน เหล่าเด็กทั้งหลายต่างก็ร่าเริงขึ้นมาทันที พร้อมทั้งยังนวดไปที่มือและเท้าด้วยความเมื่อยล้า หลังจากนั้นเหล่าเด็กๆทั้งหลายต่างก็แยกย้ายกลับไปบ้านของแต่ละคน เพื่อกินอาหารเช้า

เหล่าชาวบ้านที่แก่ชราต่างยิ้มให้แก่กัน พลางปีนป่ายลงจากหินก้อนยักษ์ ส่วนบรรดาพยัคฆ์หนุ่มทั้งหลาย ต่างหัวเราะเสียงดัง และติดตามกลุ่มเด็กๆ กลับบ้าน อีกทั้งยังเข้าไปช่วยถืออาวุธของเหล่าเด็กน้อย

หมู่บ้านหินผา ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก มีประชากรทั้งหมดประมาณ 300 คน ประกอบไปด้วยชายหญิงสัดส่วนพอๆกันบ้านทั้งหมดถูกสร้างด้วยหินขนาดใหญ่ เนื่องจากชาวบ้านชื่นชอบความเรียบง่ายและความเป็นธรรมชาติ

ณ ที่หน้าหมู่บ้าน มีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยไหม้เกรียมของการถูกฟ้าผ่า ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 12 เมตรหรืออาจมากกว่านั้น ตรงลำค้นนั้นยังคงมีรอยไหม้ แต่ก็ถูกปกปิดแสงอรุณยามเช้า ดูเหมือนเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาต้นหนึ่ง แต่สำหรับหมู่บ้านหินผาแห่งนี้ เปรียบได้กับที่สิงสถิตของเทพพฤกษา

“โอ้วว นั่นเนื้อมังกรดินไม่ใช่เหรอ แบ่งให้ข้าบ้างสิ”

เด็กบางคนนั้นดูกระฉับกระเฉงและกระสับกระส่าย ในระหว่างการกิน พวกเขาไม่ได้มีมารยาทมากนัก เด็กหลายๆคน มาจากบ้านของพวกเขาเพื่อจับกลุ่มด้วยกัน

ท่ามกลางใบไม้และต้นหญ้าที่ปลิวไสวรอบๆ หมู่บ้านหินผา ถึงแม้ว่าที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยเหล่าสัตว์ร้าย แต่พวกเข้ายังมีคนคอยดูแลปกป้อง ทางด้านอาหารเองก็ไม่ได้มีเหลือมากพอสำหรับชาวบ้านมากนัก ดังนั้นในชามของเด็กๆ จะมีแค่ขนมปังผิวหยาบ ผลไม้ป่า แล้วเนื้อสัตว์ที่หายากเพียงแค่นั้น

ในปัจจัยการขาดแคลนอาหารนั้น มักจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหมู่บ้านหินผาเสมอ เนื่องจากแนวเขาแถวนี้เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย ทั้งสัตว์อสูร และอสูรวิหคได้ที่ดุร้าย ทั้งแข็งแกร่งและน่ากลัว ทุกครั้งที่พวกเขานั้นออกล่า มีความเสียงสูงมากที่จะไม่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ถ้าเลือกได้พวกเขาก็ไม่ต้องการที่เข้าไปในหุบเขาเช่นกัน เพราะที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยคาวเลือดและการสูญเสีย

สำหรับพวกเขา อาหารนั้นเป็นเหมือนสิ่งล้ำค่า ที่ไม่อนุญาตให้บริโภคอย่างสิ้นเปลือง ทุกคนถูกสอนมาตั้งแต่เป็นเด็ก ความหิวโหย อาหาร การล่า ชีวิต และเลือด ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด

ณ ลานบ้านของอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าหมู่บ้าน บ้านของเข้าถูกสร้างหินขนาดใหญ่ประกอบเข้าด้วยกัน และมีหลังคาที่ทำจากไม้ โดยภายในจะมีห้องครัวอยู่ด้านหน้า ซึ่งมีของเหลวสีขาวกำลังถูกต้มอยู่ในหม้อดินเผา และกำลังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว โดยที่เขากำลังเคี่ยวพร้อมทั้งใส่สมุนไพรเล็กน้อย ของเหลวสีขาวนั้นคือนมจากสัตว์อสูรนั่นเอง

ไม่นานนัก เขาก็ตะโกนเรียกขึ้นมา “เจ้าหนู มากินอาหารได้แล้ว”

เด็กน้อยคนนี้สูญเสียครอบครัวไปตั้งแต่งอายุไม่ถึงขวบปี และนั่นทำให้เด็กน้อยโตมาด้วยนมจากสัตว์อสูร เด็กน้อยดื่มนมสัตว์อสูรมาหลายเดือนแล้ว ถ้าเป็นเด็กทั่วไป คงจะเริ่มกินอาหารอ่อนๆบ้างแล้ว แต่เด็กน้อยกลับยังดื่มนมอย่างมีความสุข เด็กน้อยยังคงพึงพอใจที่จะดื่มนมต่อไป นั่นเป็นเหตุทำให้เด็กน้อยโดนหัวเราะเยาะจากเด็กที่โตกว่า

“แฮ่กๆ ข้าวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว” หลังจากที่เด็กน้อยวิ่งไล่ตามนกกระจอกห้าสีอย่างไม่ลดละ เด็กน้อยพ่นหายใจอย่างแรกพร้อมทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น

“เจ้าหนู มาดื่มนมของเจ้าได้แล้ว” มีเสียงดังมาจากหนึ่งในกลุ่มเด็กโต

“เฮ้ย!! เจ้าลิงทั้งหลาย พวกเจ้าทั้งหมดต่างก็เคยดูดนมมาแล้วไม่ใช่รึ ? ” อดีตหัวหน้าหมู่บ้านยิ้ม พลางตำหนิเด็กพวกนั้น

“แต่พวกข้าก็เลิกดื่มนมไปตั้งแต่ขวบครึ่งแล้ว ฮี่ๆๆ”

เด็กน้อยนั้นยิ้มอย่างโง่งมให้กับการหยอกล้อของเหล่าเด็กโตกลุ่มนั้น ดวงตากลมโตอันสดใสของเด็กน้อยหรี่ลงคล้ายดั่งจันทร์เสี้ยว และดูเหมือนเด็กนั้นจะไม่สนใจ และยังตั้งใจดื่มนมของตนอย่างมีความสุข

หลังจากมื้อเช้า เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายภายในหมู่บ้านต่างมารวมกลุ่มที่ลานบ้านของอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง ถึงแม้ผมของเหล่าผู้อาวุโสจะขาวโพลน แต่พวกเข้ายังคงคล่องแคล่วเปี่ยมด้วยพลัง

“มีบางอย่างผิดปกติในตอนนี้ กลางดึกเมื่อคืน สิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์เคลื่อนผ่านไป สร้างความตระหนกไปทั่ว จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นในหุบเขาอย่างแน่นอน”

“อืม.. ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกครู่หนึ่ง จู่ๆก็รู้สึกหนาวยะเยือกไปจนถึงกระดูก จะต้องมีอสูรร้ายหรือบางสิ่งที่เลวร้ายเคลื่อนผ่านไปอย่างแน่นอน”

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็พูดไปในทิศทางเดียวกัน พวกเขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างคร่ำเคร่งเกี่ยวกับการสนทนาถึงบางสิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามา บางสิ่งที่แตกต่างจากที่พวกเขาเคยเจอมา

“ข้ารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่น่าตกใจกำลังเกิดขึ้นทำให้ดึงดูดความสนใจทุกสิ่งที่อยู่ในบริเวณส่วนลึกของดินแดนรกร้าง หรือไม่อาจเป็นซากโบราณ ดังนั้นพวกเราควรจะรีบไปตรวจสอบที่แห่งนั้นในทันที” ฉีหยุ่นเฟิงพูดขึ้นมาหลังครุ่นคิดไปชั่วครู่

“หรือจะมีสมบัติปรากฏขึ้นมา? ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งโพล่งออกมาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ผมและหนวดเคราชี้ชัน ดูเหมือนเขาจะตกใจมากจริงๆ

ผู้อาวุโสคนอื่นก็ไม่แตกต่างกันมากนัก และในตาพวกเข้าราวกับมีเพลิงลุกไหม้อยู่ภายใน อย่างไรก็ตาม ไฟในดวงตาก็มอดดับอย่างรวดเร็ว เพราะบางสิ่งนั้นปรากฏขึ้นในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขา ไม่เคยมีใครสามารถเข้าไปยังพื้นที่แห่งนั้นได้มาก่อน หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครรอดกลับมาจากพื้นที่แห่งนั้นได้ พวกเขาคิดว่านั้นมีบางสิ่งที่ทรงพลังมากอาศัยอยู่ภายในนั้น แต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้มาก่อน

“หัวหน้าพวกเราไม่ควรเข้าไปในช่วงเวลาสองสามวันนี้” ในตอนนั้นเอง มีชายฉกรรจ์ดูเข้มแข็งเดินเข้ามา เขาคือหัวหน้าทีมนักล่า อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าหมู่บ้านคนถัดไป

“ความสงบช่างผ่านไปเร็วนัก”  ฉีหยุ่นเฟิงขมวดคิ้วจนเกิดรอยย่น

“แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่อาหารใกล้จะหมดเลยนะ ขอรับ” ซื่อหลิงหู่ กล่าวตอบ รูปร่างของเขาดูสูงใหญ่ น่าจะเกินสองเมตร เขาพกดาบเหล็กกล้าน้ำหนัก 300 จิน และโครงร่างทั้งหมดของเขาดูแข็งแกร่งคล้ายหมี กล้ามเนื้อทั้งร่างมีสีทองแดง กำลังเคลื่อนไหวราวกับงูขนาดยักษ์

“นั่นเป็นความจำเป็นเล็กน้อยสำหรับการเติบโตและพวกเราก็ไม่สามารถอดอาหารไปได้ตลอด” คำกล่าวจากผู้แก่กว่า

“แม้ว่าอาจจะไม่ดีนักสำหรับความเงียบสงบในค่ำคืนนี้ ในทางกลับกัน นั่นไม่ใช่เรื่องผิดปกติเช่นกัน ข้าจะนำคนออกไป และมันจะไม่มีปัญหาอะไร หากเราระวังตัว”

ท้ายที่สุด สิบสองนักล่าที่เก่งที่สุดได้รวมตัวกันหน้าลานหมู่บ้านหัวหน้าซื่อหยุ่นเฟิงได้นำพวกไปที่หน้าต้นไม้ใหญ่ที่ถูกฟ้าผ่า เพื่อสวดภาวนาต่อเทพพฤกษา

“ขอจิตวิญญาณแห่งผู้พิทักษ์ โปรดคุ้มครองพวกเราทุกคน นำเราไปสู่เหยื่ออันอ้วนพีเพื่อเหล่าเด็กๆ และปลอดภัยกลับมา ด้วยหัวใจแห่งศรัทธา ข้าขอสักการะแด่การกำเนิดใหม่”