ท่ามกลางลำธารแห่งแม่มด มีเรือลำหนึ่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าช้า ๆ โดยไร้ฝีพายในเรือลำนั้น

มีคนสองคนอยู่บนเรือ คนหนึ่งคล้ายเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่มีเส้นผมสีขาวและเด็กสาวอายุประมาณสิบสองหรือสิบสามปีที่มีเค้าโครงหน้าที่สวยงาม หมอกยามเย็มเริ่มที่จะปกคลุมพวกเขาทั้งสองในขณะที่แสงจากดวงจันทร์สว่างจ้าเหนือศรีษะ

“ดูนั่น! นั่นคือเทือกเขาขนนกจักรพรรดิมันมียอดเขาที่สูงตระหง่านท่ามกลางแม่น้ำ เมื่อมองผ่านหมอกเข้าไปภูเขามีรูปร่างคล้ายกับมังกรที่กำลังทอดร่างไปหลายพันลี้” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนกล่าวออกมา

“นิกายแห่งความมืดเป็นผู้ที่ครอบครองภูเขาทุ่งหญ้าซ่อนเร้นพวกเขามีชื่อเสียงไปทั่วโลกและยังได้ผลิตศิษย์ที่มีศักยภาพออกมามากมาย และตอนนี้ ประมุขเซี่ย เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์หาได้ยาก เขาได้รับสืบทอดเทือกเขาขนนกจักรพรรดิและยังได้รับการสืบต่อชื่อจากอาจารย์ของเขา ‘อาถรรพ์ซ่อนเร้น’ ในที่สุดเขาก็ใกล้จะบรรลุขึ้นสู่ขั้นราชันที่แท้จริง มันจะทำให้ร่างกายมนุษย์กลายเป็นร่างกายแห่งเซียนและนั่นจะทำให้เขาเป็นอมตะ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่หายากมาก และมันเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ การชุมนุมที่ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่สุดในโลก” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนกล่าวขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลมายังแก้มของเขา

เด็กสาวกล่าวตอบ “อาจารย์ ท่านอารมณ์เสียอีกแล้ว ตั้งแต่โบราณมา ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าจำนวนมากมายมีอายุได้นับพันปีแต่จะมีสักกี่คนที่จะกลายเป็นอัมตะ มันมีโชคชะตาสำหรับทุกคนและวันหนึ่งพวกเราก็จะได้พบกับเส้นทางที่จะทำให้เรากลายเป็นเซียนและมีชีวิตที่เป็นอัมตะนอกเหนือจากว่าจะมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับท่าน ท่านอาจารย์”

ขณะที่เธอพูดจบเรือก็มาถึงฝั่ง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนเช็ดน้ำตาของเขาและยิ้มก่อนเดินขึ้นฝั่ง

แสงจากดวงจันทร์ส่องสว่างและท้องนภาในยามราตรีที่เงียบสงบ ในทางตรงกันข้าม ที่ทางเข้าเทือกเขากลับเต็มไปด้วยความคึกคักของเหล่าผู้คนที่กำลังจัดตั้งแผงลอยเพื่อขายสินค้า ยาจิตวิญญาณและหินมายา

มีผู้ฝึกตนหญิงมากมายเดินเบียดเสียดรอบ ๆ ร้านอัญมณีและเครื่องประดับเพื่อเลือกชื้อสิ่งที่ตนเองต้องการ

“ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนนอกรีตหรือเป็นลูกศิษย์จากนิกายเล็กๆ ที่จะมาเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองที่จะจัดขึ้น อย่างไรก็ตามส่วนมากจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในเทือกเขา ไม่ต้องสนใจพวกมัน เราไปต่อกันเถอะ”

เทือกเขาทอดยาวไปไกลกว่าที่สายตาของพวกเขาจะสามารถมองเห็นได้แต่ในทุก ๆ ที่จะสามารถมองเห็นสาวกจากเทือกเขาขนนกจักรพรรดิที่คอยปกป้องทางเข้าไว้ พวกเขาทั้งหมดล้วนสวมชุดคลุมสีฟ้าและมีป้ายสีทองผูกติดไว้กับเข็มขัด ในฐานะผู้ที่จะเข้าสู่เทือกเขา พวกเขาล้วนหยิบเอาบัตรเชิญซึ่งบางคนเป็นสีขาว บางคนเป็นสีแดงยืนให้กับสาวกที่เฝ้าทาง

เมื่อมาถึงทางเข้าสู่เทือกเขา ผู้ฝึกตนวัยกลางคนได้ยื่นบัตรเชิญสีแดงให้กับสาวกผู้หนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นบัตรเชิญล้วนให้ความเคารพและกล่าวออกมา “อาจารย์ ลี ได้โปรดเชิญ”

แต่เมื่อเทียบกับบัตรเชิญสีขาวผู้เฝ้าทางก็ได้แค่ยิ้มและกล่าว “ขอบคุณที่มาแต่มีเพียงแค่ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเป็นแขกของเราได้”

หลังจากผ่านประตูเข้ามาพวกเขาเดินผ่านพื้นที่ที่แตกต่างกันมากมายซึ่งบางครั้งจะมีเมฆลอยมาราวกับว่าเทือกเขากำลังต้อนรับพวกเขา

ขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั้น อาจารย์ ลี ได้ชี้ให้เด็กสาวเห็นอะไรบางอย่าง “ดูนั่น พวกมันเหล่านั้นคือสาวกจากนิกายสวรรค์”

ถึงแม้ว่าถนนที่อยู่ตามเทือกเขาจะยาวและคดเคี้ยวแต่พวกเขายังสามารถมองเห็นพระราชวังที่สร้าง ณ จุดสูดสุดของเทือกเขา ตลอดทางมีหอคอยต่าง ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยสวนดอกไม้นานาพรรณช่วยขับให้พระราชวังที่อยู่ตรงกลางดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้นและยังประดับตกแต่งพื้นที่รอบ ๆ ด้วยโคมไฟจำนวนมากจึงทำให้เมื่อมองสถานที่นี้จากระยะไกลจะดูคล้ายมองท้องนภาที่เต็มไปด้วยดวงดารา

เสียงดนตรีและเสียงขับขานแห่งความสุขได้ถูกพัดพามาตามสายลม ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นไปอีก บางคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนแกล้งทำเป็นหลับและบางคนพูดคุยเกี่ยวกับหนทางแห่งเต๋า

“การบรรลุความสำเร็จนับพันคนของผู้ฝึกตนจะนำมาสู่ความรุ่งโรจที่แท้จริง” มีผู้ฝึกตนจำนวนมากกล่าวออกมา

ณ พระราชวัง : ทางเดินใต้ดิน

ในห้องโถงของพระราชวังที่มีความสูงประมาณ 9 เมตร และกว้างประมาณ 15 เมตร มีผู้ฝึกตนสองคนได้เดินไปยังประตูที่ปกคลุมไปด้วยตะปูสีทอง เมื่อมาถึงประตูได้เปิดออกช้า ๆ

ด้านหลังประตูมีรูปปั้นขนาดใหญ่ใส่ชุดเกราะเต็มรูปแบบ ในมือถือหอกสีทองทำให้รูปปั้นนั้นเสมือนแผ่กลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันออกมา

ผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้เดินไปด้านหน้าพร้อมสวมเสื้อคลุมผ้าไหมและหมวกแบบดั้งเดิม เขามีผมยาวสลวยที่ผูกมัดไว้จึงทำให้เขาดูคล้ายกับเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีและยังมีผู้ฝึกตนชายอายุประมาณยี่สิบปีเดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด

“ราชันที่แท้จริง อาถรรพ์ซ่อนเร้น มาถึงแล้ว”

โต๊ะหินที่มีกระดูกโลหะประดับอยู่ มันถูกใช้เพื่อกักขังชายผู้หนึ่ง กองไฟลุกโชติช่วงข้างใต้โต๊ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกไฟไหม้แต่ก็ยังคงปรากฎความเจ็บปวดขึ้นบนใบหน้าของเขา ริมฝีปากของเขาแตกและแห้ง เลือดบนกายค่อย ๆ หยดลงบนกองไฟทำให้เกิดเป็นประกายไฟรวมตัวขึ้นเป็นอักขระเข้าไปฝังบนร่างกายของชายผู้นั้น

อักขระเริ่มเปล่งแสงและปรากฎข้อความขึ้นมา เมื่อได้ตรวบสอบอย่างระเอียดก็สามารถเข้าใจข้อความเหล่านั้นได้

“ท้าทายกฎของนิกายแห่งความมืด แสดงความไม่เห็นด้วยกับผู้นำของนิกาย บุกรุกเทือกเขาขนนกจักพรรดิ ต่อต้านการจับกุม และ สร้างความอัปยศให้แก่นิกาย!”

มีการใช้พลังแห่งเต๋าทำให้โซ่ที่ล่ามอยู่ ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นงู เพื่อทรมานชายผู้นั้น ทันทีที่บาดแผลเริ่มสมานตัว งูเหล่านั้นก็พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง

ณ จุดนี้ผู้ที่จะได้เป็นอัมตะนายน้อยเซี่ย ได้มาถึงแล้ว เขาได้ยกศรีษะของเข้าขึ้นเพื่อมองไปยังนายน้อยเซี่ย

“เพ่ยจือยุน!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “เจ้ายังจะดื้อดึงอยู่อีก?”

“ซงฉี!”

“เซี่ยเฉินดง!”

เพ่ยจือยุน ยกศรีษะขึ้นมาเขาไม่เคยจิตนาการเลยว่าซงฉีคนนี้จะเป็นซงฉีคนเดิมจากนิกายเมฆาล่อง เป็นคนเดียวกันกับคนที่ดูแลเขาและเป็นคนเดียวที่สาบานว่าจะพื้นฟูนิกายเมฆาล่องแต่หลังจากที่ซงฉีล่วงรู้ความลับของเขาซงฉีได้ทรยศหักหลังเขา โดยนำความลับของเขาไปให้กับนิกายแห่งความมืดแม้มันจะเป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด

ทั้งสามสบตากัน นายน้อยเซียมองดูด้วยความรู้สึกสนุกสนาน

“เพ่ยจือยุน เย่ซูเอ๋อ ออกจากภูเขาทุ่งหญ้าซ่อนเร้นแล้ว(ตรงนี้อิงเขาอธิบายว่าเขาใช้คำอุปมา อุปไมยความหมายก็ประมาณว่า เย่ซูเอ๋อ ได้ทิ้งเพยซือยุนไปแล้วไปประมาณนี้นะครับ)” ซงฉีพูดด้วยน้ำเสียงเย็นฉา “วันนี้จะเป็นวันที่นายน้อยเซี่ยจะกลายเป็นเซียน ความตายของเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว”

เพ่ยจือยุน ค่อย ๆ ยกศรีษะของเขาขึ้นเหงื่อเม็ดใหญ่ปรากฎขึ้นที่หน้าผากของเขา ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขาถลึงตามองไปทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า เขาพยายามพูดออกมาด้วยความลำบาก “ข้ามันไม่ควรไว้ใจเจ้า เจ้ากล้าที่จะหักหลังข้า….”

“หึ นั่นคือความโชคร้ายของเจ้า” ซงฉีคำรามด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้ามีพรสวรรค์ทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่ได้บอกนายน้อย นั้นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเจ้าไม่ซื่อสัตย์กับนายน้อย”

“แต่ยังไงก็ตามถึงเจ้าจะมาสำนึกเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันที่ครบรอบวันตายของเจ้า”

“เออ….ใช่ อย่าพูดถึงวันครบรอบเลย ด้วยร่างกายและจิตวิญญาณที่ถูกทำลายจะไม่มีอะไรให้จดจำ”ซงฉีพูด ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อเพ่ยจือยุนนั้นเป็นเรื่องใหญ่โตมาก

ปัง!!

หลังจากพูดจบท้องฟ้าเริ่มมืดมิด สายลมเริ่มพัดรุนแรงขึ้น ก่อเกิดกลุ่มเมฆสีดำก่อตัวและแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่จนปกคลุมทั่วท้องฟ้า

นายน้อยเซี่ย ผู้ที่มีกลิ่นอายแห่งความเย่อหยิ่งและทรนง ที่มักแสดงออกด้วยความขี้เล่นจู่ ๆ ท่าทางของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา “เอาเป็นว่าซงฉี เจ้าจงออกไปดูแลงานชุมนุมก่อน!”

เมื่อสังเกตเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนายน้อยเซีย เขารีบออกไปจากพื้นที่นี้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีคำพูดใด ๆ

หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบ นายน้อยเซีย ได้หัวเราะและกล่าวขึ้นว่า “เพ่ยจือยุน เอ๋ย เพ่ยจือยุน เจ้าช่างเป็นที่รักของสวรรค์จริง ๆ  แม้วันนี้จะเป็นวันที่กฎแห่งเต๋าพาดผ่าน ท้องนภามันควรที่จะปลอดโปร่งแต่เมื่อเจ้ากำลังจะตายมันกับปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำ”

“จงดูนี่!” นายน้อยเซีย ชี้ที่ดอกเหมยฮัวที่อยู่ระหว่างคิ้วของเขา “พรสวรรค์นี้เรียกว่า ‘เหมยฮัวแห่งการแย่งชิง’ เพราะว่ามันสามารถแย่งชิงพรสวรรค์โดยธรรมชาติได้”

“พรสวรรค์แห่งจิตวิญญาณนี้แม้แต่บันทึกโบราณก็ไม่ถูกกล่าวถึง แต่หลังจากที่ข้าได้มันมาจากเจ้า ก็ทำให้ข้าใกล้บรรลุสู่ความเป็นอัมตะในเวลาน้อยกว่าสิบปี”

หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องนี้ เพ่ยจือยุนที่ร่างกายอาบไปด้วยเลือดได้ยกศรีษะของเขาขึ้นและเริ่มที่จะบ้าคลั่ง

“เพ่ยจือยุน เอ๋ย เพ่ยจือยุน เจ้ามันเป็นคนโง่ ทั้ง ๆ ที่เจ้ามีพรสวรรค์ที่แสนวิเศษอย่างนี้เป็นเวลากว่าสิบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงห้าปีแรก เจ้ากลับไม่คิดที่จะใช้มัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของมัน”

“และเย่ซูเอ๋อ ใครจะรู้ว่าโชคชะตาอันยิ่งใหญ่อะไรกำลังรอเธออยู่ ออ เธอเป็นคนรักในวัยเด็กของเจ้าด้วยนิ แต่เจ้าก็เสียเธอไป”

“อาจารย์ของเจ้าก็เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งนิกายเมฆาล่อง ที่ไปสอนในหมู่บ้านหอยทากเป็นเวลาถึงสามปี ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำคือแค่แสดงสัญญาณอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพรสวรรค์ที่เจ้าได้ถือครอบ เจ้าอาจได้รับการยอมรับ แต่เจ้ากลับปล่อยมันไป”

“อา…. เวลาสิบปีที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งหมูบ้านที่ถูกทำลายทั้งหมด ทั้งเย่ซูเอ๋อที่ได้จากเจ้าไป และเพียงเพื่อเข้าสู่นิกายเมฆาล่องเจ้าได้ใช้เวลาไปห้าถึงหกปี แต่ยังไงก็ตาม เจ้าก็เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทุกสิ่งตกสู่ความตกต่ำ ดูสิ แม้แต่ซงฉีที่เป็นทั้งเพื่อนและคนที่เจ้าไว้ใจมากที่สุดยังจากเจ้าไป”

“เจ้าเป็นดังเช่นความล้มเหลว!”

ในขณะที่นายน้อยเซี่ยพูด เขาได้เข้าใกล้เพ่ยจือยุนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็โน้นตัวลงจนกระทั้งเขาแทบจะกระซิบที่หูของเพยซือยุน

เลือดที่อยู่ในกายของเพ่ยจือยุนเริ่มเดือดพล่านเขาพยายามถลึงตาจ่องมองไปยังชายผู้นั้น หัวใจของเขากำลังถูกเผาใหม้ด้วยความโกรธเกรี้ยวที่รุนแรง

“ผู้หญิงของเจ้า ก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างเจ้าได้! นิกายของเจ้าก็ไม่สามารถปกป้องได้ เจ้าไม่สามารถแม้แต่ที่จะรักษาพรสวรรค์ธรรมชาติของเจ้าได้!” นายน้อยเซี่ย หัวเราะ “แค่การแย่งชิงพรสวรรค์มาจากเจ้าได้ มันไม่สะใจเท่าเจ้าเต็มใจสาบานที่จะมอบมันมันกับข้าด้วยตัวเอง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ามันโง่แค่ไหน”

“ข้านั้นจะกลายเป็นอัมตะและเจ้าสามารถที่จะนั่งอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะดิ้นรนและร่ำไห้” เขามองลงไปเห็นการแสดงออกของเพ่ยจือยุน นายน้อยเซียเริ่มที่จะหัวเราะอีกครั้ง เขาตัดสินใจที่จะไม่ทรมานเพ่ยจือยุนอีกต่อไป   “จงดู! เวลาที่ข้าจะบรรลุกลายเป็นเซียน”

ณ ขอบเขตแห่งจิตวิญญาณ พลังงานแห่งจิตวิญญาณเริ่มปะทุขึ้นอย่างรุนแรง ตอนนี้รัศมีแห่งเต๋าสาดส่องลงมาจากท้องนภาแล้ว

ผู้คนมากมายที่รวมตัวกันที่เชิงเขาพลันตื่นตกใจ แม้แต่ผู้อาวุโสแห่งเต๋า ผู้ที่เป็นคนนำขบวนก็กลายเป็นประหลาดใจเมื่อพวกเขาสังเกตเห็งรัศมีแห่งเต๋าปรากฎขึ้นมา

นี่คือการบรรลุเป็นเซียนจากสวรรค์ ขั้นตอนนี้จะนำไปสู่การรวมกันของสวรรค์และโลก ที่สามารถหลอมรวมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

“อ่า!…………”นายน้อยเซี่ยร้องออกมาเมื่อรังสีจากสวรรค์เริ่มสาดส่องลงมาสู่จิตวิญญาณและร่างกายของเขาดวงดาวนับล้านดวงได้พุ่งลงสู่พื้นดินที่ว่างเปล่ากลายเป็นประกายสีทองตกลงมาคล้ายฝน ห้องขังทั้งหมดสว่างไสว… ทันไดนั้น! เพ่ยจือยุนเริ่มหัวเราะและการแสดงออกของเขาเริ่มที่จะคลุ้มคลั่ง

“เจ้าหัวเราะอะไร!” นายน้อยเซี่ยแสดงออกด้วยความกังวลที่แผ่กระจายไปทั่วใบหน้าของเขา

“ข้ามันไร้ความสามารถหรือ?.. ข้านั้นค้นพบพลังของดอกเหมยฮัวมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ข้ามันโง่ที่ไม่กล้าใช้พลังของมัน เพราะมันช่างไม่ยุติธรรม”

“สวรรค์ให้อิสระกลับไม่ใช้ ยังจะเต็มใจทนทุกข์ทรมานด้วยโทษของผู้อื่น(ตรงนี้เป็นสุภาษิตจีนนะครับ แปลประมาณว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นกับคนดี ยังรู้ว่าจะใช้คำไทยไหนดีขอโทษด้วยนะครับ – -a) นั้นคือเหตุผลว่าทำไมแม่ของข้าถึงได้ตายด้วยความยากจน ทำไมต้องให้เย่ซูเอ๋อจากข้าไป ทำไมอาจารย์ของข้าต้องถูกทำลายและทำไมข้าต้องอยู่ในสถานที่เช่นนี้!”

“เจ็ดปี มันเป็นเวลาถึงเจ็บปีที่ข้าได้ใช้ชีวิตในคุกนี้ มันสะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดที่ข้าได้ก่อขึ้น เจ้ายังคิดว่าข้ายังไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมข้าต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อรอเวลานี้”

“เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวความตายและร้องขอชีวิต” เพ่ยจือยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา จู่ ๆ ก็เกิดเสียงคำรามดังสนั่นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีดำเกิดแสงจากอัสนีสาดส่องทั่วท้องนภาในยามราตรี ร่างกายของเพ่ยจือยุนเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแสงจากดวงดาวนับล้านดวงได้สาดส่องไปยังร่างกายของเขาและแสงเหล่านั้นได้ซึมเข้าไปตามรูขุมขน จึงทำให้เขาดูเหมือนจะเติบโตขึ้นด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง

“ไม่!? นี่มันเป็นไปไม่ได้เจ้าไม่สามารถที่จะดูดกลืนพลังแห่งจิตวิญญาณได้เจ้าได้สาบานที่จะมอบ พลังเหมยฮัวให้ข้าแล้วไม่มีทางที่เจ้าจะยังมีพลังเหลืออยู่”

“สิ่งที่ข้าให้กับเจ้าไปเป็นเพียงแค่รูปลักษณ์หาใช่รากไม่ รากทั้งหมดยังอยู่กับข้า!”

“ออใช่ ข้อผูกมัดที่เจ้าใช้กับข้ามันช่างน่ากลัวก็จริงเพราะพลังงานทั้งหมดที่ข้าดูดกลืนจะถูกยับยั้งโดยเจ้า แต่อย่างไรก็ตามเวลานี้ข้าไม่ได้ดูดกลืนพลังงานสำหรับตัวเอง แต่…”

“ข้าจะดูดกลืนสำหรับราก”

“เห็นได้ชัดว่าพลังงานธรรมดาไม่สามารถที่จะกระตุ้นรากได้ แต่เจ้าละเลยข้าขณะที่เจ้าพยายามจะบรรลุเป็นเซียน ต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ”

ในขณะที่เพ่ยจือยุน กำลังดูดซับแสงจากดวงดาวอยู่นั้นเลือดที่ไหลอยู่ของเขาเริ่มปรากฎแสงและเส้นสีนิลขึ้นตามร่างกาย มันเริ่มแผ่ขยายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

“นายน้อยเซีย ไม่มีดอกไม้ใดที่ไร้ราก และจงดูเวลาที่ข้าได้แย่งชิงทุกอย่างไปจากเจ้า!” ร่างของเพ่ยจือยุนเริ่มปริแตกแต่เขายังคงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ไม่!” น้อยน้อยเซียหยุดลังเล คลื่นพลังจากมือของเขาถูกเปลี่ยนเป็นรังสีดาบพุ่งไปยังลำคอของเพ่ยจือยุน หัวของเพ่ยจือยุน พุ่งขึ้นไปบนฟ้าขณะที่เลือดจากกายของเขาได้พุ่งไปทั่วพื้นที่ แต่! ใบหน้าของเขาแสดงออกมาหาใช่ความโกรธหรือความคับแค้นใจไม่ แต่กลับแทนที่ด้วยความสงบ ขณะที่ดาวตาอันแดงก่ำของเขาได้มองขึ้นไปบนท้องนภา

“ผู้ที่มือชื่อเดียวกับข้าเอ๋ย เจ้าจงรับทุกสิ่งทุกอย่างจากข้า…. ยกเว้นความเศร้าเสียใจ!”

บูม!!! เกิดเสียงแห่งอัสนีบาตฟานฟันไปทั่วทั้งภูเขา ผืนดินเกิดการสั่นสะเทือน ประกายไฟปรากฎขึ้นตามรอยแตกแยกของผืนดินพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา เกิดการระเบิดขึ้นทั่วทั้งภูเขา

ผ่านไปไม่นานสิ่งที่เหลืออยู่มีแต่ความว่างเปล่า…

 

////////////////////////////////////////////

สวัสดี…..นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แปลนะครับ ถ้าแปลผิด สำนวนแย่ประการณ์ไดก็ขออภัยด้วยเน้อ -/\-

\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\

ผมจะลงตอนใหม่ 2-3 วันต่อตอนนะครับ