ในทวีปสวรรค์ รัชสมัยฉิน แคว้นฉิน เมืองโม่เหอ ตระกูลเสี่ยว

เสี่ยวเฉินนั่งอยู่บนหลังคาบ้านในสนามหลังบ้านตระกูลเสี่ยว วันนี้มันเป็นวันที่อากาศแจ่มใสยิ่งนัก แต่อารมณ์ของเสี่ยวเฉินไม่ได้ดีตามท้องฟ้าแต่อย่างใด ตอนนี้เขากำลังรู้สึกหดหู่

เขาเคยสาบานเอาไว้ว่า ถ้าเขาได้กลับไปยังที่โลกอีกครั้ง เขาก็จะไม่ขอซื้ออะไรจากเถาเป่าอีกต่อไป

ในตอนที่เขาได้ซื้อหนังสือการบ่มเพาะพลัง 250 หยวนนั้น เขาได้รับยาเทพอมตะ ที่ถูกกล่าวขานว่าจะช่วยให้คนที่ได้กินมันไป จะเข้าสู่โลกของความเป็นอมตะ

เสี่ยวเฉินเป็นคนธรรมดาสามัญ ซึ่งแน่นอนหากมีสิ่งใดที่พูดถึงเรื่องตำนานและพวกการบ่มเพาะพลัง การที่ได้ลองกินมันนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย

ในสามปีที่ผ่านมา เสี่ยวเฉินได้ทำตามหนังสือบ่มเพาะพลัง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าด้านพลังแต่อย่างใดไม่ นอกเหนือจากการจดจำวิธีกลั่นโอสถยา ทำมาเป็นเครื่องรางต่างๆ และพวกอาวุธที่กลั่น นั้นคือส่วนที่เขาทำได้

อย่างไรก็ตามเสี่ยวเฉินก็ยังไม่ยอมแพ้

ครั้งหนึ่งเขาได้ลองใช้ค้อนเหล็กทุบไปที่มัน แต่ผลของมันกลับมีสนามพลังล้อมรอบตัวยา ทำให้ค้อนไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ ไม่ต้องคำนึงถึงน้ำหนักที่เขา ทุบลงไป ตัวของสนามพลังนั้น ทำให้ค้อนไม่อาจขยับเขยื่อนไปไหนได้

นี่นับว่าเป็นเรื่องลี้ลับ ที่ทำให้เสี่ยวเฉินได้ตัดสินใจกินยาเทพอมตะ

ใครจะคาดคิดล่ะ ว่าหลังจากที่เขากินยาเทพอมตะเข้าไปนั้น ทำให้โลกกลับแตกต่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่ทำให้กลายเป็นอมตะดังตำนานกล่าว แต่ถูกทำให้กลายเป็นสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ทวีปสวรรค์

เขาเป็นคนที่โง่และเซ่อซ่าเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะคิดได้ว่า เขากลายมาเป็นบุคคลคนๆหนึ่งที่มีชื่อแซ่คล้ายกับตัวเขาเอง นั้นคือเสี่ยวเฉินแห่งโลกนี้

เขาได้รับการทรมานต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ด้วยเหตุที่ว่า หากใครมีอำนาจและความสามารถมากพอในตระกูลเสี่ยว หากมันผู้นั้นเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ด้วยมือเปล่า พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถสยบศัตรูด้วยท่วงท่าของฝ่ามือในมือของพวกเขาได้

ในทวีปสวรรค์นั้น ผู้ที่แข็งแกร่งคือผู้ที่ถูกนับถือ อย่างไรก็ตามหากนับว่าร่างกายของผู้ที่สามารถสำเร็จยุทธ์ในการบ่มเพาะพลัง มันผู้นั้นคือผู้ที่ชาญฉลาดและเป็นอัจฉริยะ แต่เสี่ยวเฉินได้ครอบครองร่างของชายที่เป็นขยะในการบ่มพลัง ซึ่งตอนนี้เขาอายุได้สิบหกปี ไม่เคยมีศิลปะยุทธในการต่อสู้แต่อย่างใด

ตระกูลเสี่ยวคืออันดับหนึ่งในเมืองโม่เหอ และ เสี่ยวเฉินคือลูกชายของหัวหน้าตระกูล มันอาจจะฟังดูน่าเกรงขาม แต่การที่เขาขาดพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ ที่คนรับใช้ตระกูลยังมีพลังมากกว่าเขา นั้นทำให้เขาถูกดูถูก ชื่อเสียงของเสี่ยวเฉินที่เกี่ยวกับการเป็นขยะ ทั่วทั้งเมืองต่างก็รู้จักเขา โดยที่ทุกคนต้องห้ามพูดเรื่องนี้ แม้ว่าจะออกไปข้างนอกก็ตาม

“นายน้อยเสี่ยว ท่านอาวุโสหนึ่งได้ขอให้ท่านไปที่ห้องโถงเพื่อทดสอบความสามารถของท่าน ถ้าหากท่านไม่มีอะไรทำก็ควรรีบไป ข้าได้บอกข้อความแก่ท่านแล้ว หากท่านไม่อยากไปหรือไม่อยากมีปัญหาก็เป็นสิทธิของท่าน”

เมื่อได้ยินเสียงนั้น มันได้ทำลายความคิดของเสี่ยวเฉินทันที คนที่พูดอยู่นี่เป็นคนรับใช้ตระกูลเสี่ยว อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้สนใจตัวเสี่ยวเฉินเลยแม้แต่น้อย เมื่อพูดจบนางก็จากไป

คนรับใช้ตระกูลเสี่ยว คือผู้ที่สามารถบ่มเพาะพลังได้ ในการความถนัดของสาวใช้ผู้นี้ นางได้กลั่นจิตวิญญาณการต่อสู้ปลุกระดับได้เมื่ออายุสิบสองปี ซึ่งหมายความว่า เธอแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเฉิน ผู้ที่เป็นขยะไม่อาจบ่มเพาะพลังได้จนถึงอายุสิบหกปี นอกจากนี้เสี่ยวเฉินเอาแต่พึ่งสถานะของตัวเอง ทำให้เหล่าสาวใช้ไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย พวกนางรู้สึกว่าเขาไม่คู่ควรแก่การให้ความเคารพ

“แม้กระทั้งสาวใช้ยังรังเกียจเขา…แล้วในโลกนี้เสี่ยวเฉินยังจะทำอะไรได้อีก?” หลังจากที่หญิงนางนั้นได้ทิ้งข้อความไป อารมณ์ของเขาก็แย่ลงอีกครั้ง ก่อนที่จะตบก้นเพื่อปัดฝุ่นและกระโดดลงจากหลังค

สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเฉินอารมณ์แปรปรวนนี้ไม่ได้เป็นเพราะสาวใช้ แต่เป็นเพราะข้อความนั้นต่างหาก มันเป็นการทดสอบความสามารถของเสี่ยวเฉิน ทุกๆ 3 เดือน!

ในความทรงจำของร่างกายนี้ เสี่ยวเฉินรู้ว่าทุกคนในตระกูลเสี่ยวไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมากเท่าไหร่ ต้องมีการทดสอบความสามารถทุกๆสามเดือน

ประเมินสถานะการบ่มพลังของเขาในปัจจุบันนั้น ผู้ที่มีความสามารถมากขึ้น จะได้รางวัล ส่วนผู้ที่ตกต่ำจะถูกลงโทษ การลงโทษอาจจะเป็นอะไรที่หนักหนาและรุนแรง ลูกศิษย์ในตระกูลเสี่ยวพวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อารมณ์ดี พวกเขานั้นรู้ว่าพวกเขามีความสามารถและจะผ่านการประเมินเหล่านี้ไปได้แน่ เมื่อเขาผ่านพวกเขาก็จะโม้เรื่องความแข็งแกร่งให้คนอื่น

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มันจะเป็นการทรมาณเสี่ยวเฉิน นับตั้งแต่เขาการบ่มพลังของเขาหยุดนิ่งไปในช่วงอายุ 8 ขวบเขาติดอยู่ในระดับที่ 9 ของระดับก่อเกิดวิญญาณ เขาไม่สามารถก้าวต่อไปที่จะบ่มพลังกลายเป็นผู้ที่ฝึกฝนอย่างแท้จริง

เป็นเวลาแปดปีที่ราวกับฝันร้ายของเขา ทุกครั้งที่เขาทดสอบพลัง เขาก็จะมีแค่ระดับขั้นที่ 9 ของระดับก่อเกิดวิญญาณ เขาไมได้พัฒนาขึ้นแต่อย่างใด ในขณะที่คนอื่นๆ ก้าวไปในระดับ ผู้เชี่ยวชาญกกันหมดแล้ว

เมื่อเสี่ยวเฉินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ พื้นที่การฝึกยุทธ์นั้นกว้างใหญ่ไม่กี่ร้อยตารางเมตรก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย หากจะนับ ก็ไม่น้อยกว่า 800 คน ซึ่งพวกเหล่านี้ก็เป็นลูกศิษย์รุ่นหนุ่มสาววัยรุ่นๆ ในตระกูลเสี่ยว พวกเขามีอายุไม่ถึงยี่สิบปี หากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกนี้ พวกเขาก็จะฝึกฝนจนก้าวไปสู่ระดับสำนักศิลปะยุทธ ด้วยเหตุนี้ความสามารถตระกูลอันดับหนึ่งในตระกูลเสี่ยว ก็คืออันดับหนึ่งในเมืองโม่เหอ ตระกูลเสี่ยวคือตระกูลที่ยิ่งใหญ่

เขาเพิ่งพบมุมเงียบๆ เขาได้เดินเขาไปตรงนั้น และหวังว่าจะไม่มีใครมาเห็นเขาและให้เรื่องพวกนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ

แต่ในช่วงเวลานี้ มีชายสูงวัยผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างหินเวทย์ที่ทดสอบระดับพลังของตัวเอง คนๆนี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเสี่ยว ผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่ง เสี่ยวเฉียง เขาเป็นผู้มีระดับพลังสูงสุดในตระกูลเสี่ยว ในเมืองโม่เห่อ เขาคือผู้ที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งดีๆนี่เอง

เหล่าหนุ่มสาวที่มาอยู่ในช่วงวัยสิบแปดหรือสิบเก้าปีกันทั้งนั้น พวกเขาได้ยืนอยู่ด้านหน้าหินเวทย์ และเตรียมพร้อมที่จะเข้ารับการทดสอบ หนึ่งในพวกเขามองซ้ายขวาไปมาจนเห็นเสี่ยวเฉินในมุมเล็กๆ

ที่มุมของคนๆนั้น ได้เผยขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเยาะเย้ยก่อนที่จะพูดออกมาทำท่าทางว่าประหลาดใจว่า “พี่เฉินมาถึงแล้ว ทำไมพี่ถึงได้ยืนอยู่ไกลขนาดนั้นล่ะ? ไปอยู่ตรงนั้นแบบนั้น พี่เฉินมาทำสอบครั้งแรกยังงั้นรึ?”

เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างขมขื่น มีเรื่องบางเรื่องที่ยากที่จะหลบพ้น แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในที่ไกลๆแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นสายตาของคนที่มองมาได้ คนที่พูดคนนี่ ชื่อเสี่ยวเจี้ยน เป็นน้องชายของเสี่ยวเฉิน ที่มีพ่อเดียวกัน แต่แม่คนล่ะแม่  ในช่วงทดสอบเขามักโดนเปรียบเทียบกับน้องคนนี่บ่อยๆ

เสี่ยวเฉินเริ่มฝึกบ่มเพาะพลังมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ภายในช่วงเวลาหนึ่งปี เขารู้สึกถึงพรสวรรค์ต่างๆที่เขามี ในช่วงอีกปีนึง เขาก็สามารถขยับเข้ามาอยู่ในขั้นที่ 1 ของระดับก่อเกิดวิญญาณ ต่อมาอีกสามปี เขาก็ก้าวไประดับ 8 และก้าวไปอยู่ในระดับที่ 9 ของก่อเกิดวิญญาณ ในช่วงที่เขายังมีความสามารถเข้าก้าวกระโดดไปไกลจนทั่วทั้งตระกูลเสี่ยวต่างยอมรับเขา

ในเวลานั้น เสี่ยวเจี้ยนยังคงอยู่แค่ระดับที่ 5 ของชั้นก่อเกิดวิญญาณ ทุกคนในแซ่เสี่ยวนั้น ต่างก็สนใจแต่เสี่ยวเฉิน ขนาดผู้อาวุโสในตระกูลต่างก็ยกย่องเสี่ยวเฉิน ทำให้เสี่ยวเจี้ยนกลายเป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ทุกคนลืมเลือน

ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เกลียดเสี่ยวเฉินมากมายนัก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรชายทั้งสองของหัวหน้าตระกูลเสี่ยว แต่เสี่ยวเฉินมักเป็นที่รักมากกว่าที่ชัง

ทั่วทั้งตระกูลเสี่ยว ปรากฏความหวังว่าจะมีผู้ที่เก่งกาจปรากฏตัวขึ้นมา แต่ในไม่ช้าความสามารถของเสี่ยวเฉินก็หยุดนิ่ง พวกเขาทุกคนต่างผิดหวังกับที่เสี่ยวเฉินเป็นเช่นนี้ และมันเป็นเวลานานที่ในอดีจอัจฉริยะผู้นี้ก็กลายเป็นขยะในสายตาของพวกเขา มันยากที่จะพูดออกมาจากใจเสียจริงๆ